PYLON ซิวงานใหม่อีก 3โครงการ มูลค่ากว่า 182 ลบ. คุยโค้งสุดท้ายเข้าประมูลงานอีก 1.1 พันลบ.หวังได้ 20-30%

ข่าวอสังหา Tuesday October 9, 2012 11:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--IR PLUS PYLON แจ้งได้รับงานใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการ เป็นงานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคารทั้งหมด มูลค่างานรวมกว่า 182 ล้านบาท หลังจากเดือนกันยายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวแจ้งรับงานเพิ่มไปแล้วเกือบ300 ล้านบาท “บดินทร์ แสงอารยะกุล” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เผยโค้งสุดท้ายยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่มูลค่าราว 1.1 พันล้านบาท คาดว่าจะได้งานอย่างน้อย 20-30% มั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 1,200 ล้านบาทไม่มีปัญหา นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานรากชั้นนำในประเทศไทย เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้รับการยืนยันการจ้างงานก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เพิ่มเติมจากที่แจ้งในครั้งก่อนจำนวนทั้งสิ้น 3 โครงการ ซึ่งเป็นงานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคารทั้งหมด รวมมูลค่างานดังกล่าวทั้งสิ้น 182,432,400 บาท ได้แก่ งานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคาร โครงการ Show DC Rama 9 ของบริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 140 วัน, งานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคาร โครงการอาคารหอศิลป์ร่วมสมัย ระยะที่ 1.1 ของบริษัท เอ็ม วี เอส ดีเวลลอปเมนท์ 1688 จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 148 วัน และงานเสาเข็มเจาะ งานสำหรับงานอาคาร โครงการ Bridge Naradhiwas ของบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ระยะเวลาก่อสร้าง 47 วัน โดยงานดังกล่าวจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ “ขณะนี้ถือว่างานรับเหมาฐานรากเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีงานไหลเข้าตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง PYLON ในฐานะผู้ประกอบการระดับแนวหน้าที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าของโครงการเป็นอย่างดี ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของธุรกิจ โดยได้รับงานอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งล่าสุดได้รับงานใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่างานกว่า 182 ล้านบาท หลังจากที่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้รับงานใหม่แล้วมูลค่าเกือบ300 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ยังคงอยู่ที่ระดับ 900 ล้านบาท เนื่องจาก Backlogดังกล่าวจะทยอยรับรู้เป็นรายได้อย่างต่อเนื่อง” นายบดินทร์กล่าว สำหรับในไตรมาสที่ 4/2555 บริษัทฯ อยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เพิ่มอีก คิดเป็นมูลค่าราว 1,100ล้านบาท เป็นงานก่อสร้างมูลค่าราว 600 ล้านบาท และงานฐานรากมูลค่าราว 500 ล้านบาท คาดว่ามีโอกาสชนะได้งานดังกล่าวประมาณ 20 — 30% อีกทั้งถือว่าเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ ประกอบกับไม่มีผลกระทบจากวันหยุดพิเศษที่ต้องหยุดติดต่อกันหลายวันทำการเหมือนในช่วงครึ่งปีแรก และสภาพภูมิอากาศที่ผ่านพ้นช่วงหน้าฝนทำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ดังนั้นจึงจะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างชัดเจน และมั่นใจว่าในปีนี้ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,200 ล้านบาท จะยังเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เขากล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจงานฐานรากหลังจากนี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีเขียว และงานทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ซึ่งจะเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2555 ถึงปี 2556 และในขณะเดียวกันงานอาคารสูงของภาคเอกชนก็ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ ซึ่งหลังจากนี้จะเห็นงานไหลเข้าตลาดคึกคักขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ