กรุงเทพฯ--11 ต.ค.--ก.ล.ต.
การลงทุนควรพิจารณาทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงทั้งพอร์ตการลงทุน แทนที่จะพิจารณาเฉพาะสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง โดยความเสี่ยงในการลงทุนมี 2 ประเภท ได้แก่ (1) ความเสี่ยงของตลาด (systematic risk) และ(2) ความเสี่ยงเฉพาะของตราสาร (unsystematic risk) ซึ่งความเสี่ยงประเภทหลังนี้สามารถลดได้โดยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
ทฤษฎีทางการเงินอ้างอิงสมมติฐานว่าผลตอบแทนและความเสี่ยงมีลักษณะเป็น normal distribution อย่างไรก็ดี พบว่าข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง ผลตอบแทนและความเสี่ยงไม่ได้เป็นไปตาม normal distribution เสมอไป เป็นผลให้การประเมินความเสี่ยงเฉพาะของตราสารต่ำเกินไปได้ ดังนั้น normal distribution จึงไม่เหมาะที่จะใช้อธิบายผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุน และการลงทุนในทรัพย์สินหลายประเภทรวมกันสามารถที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้
การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 เป็นความเสี่ยงของตลาด โดยหุ้นจดทะเบียนในตลาดสหรัฐอเมริกาจำนวน 25% ขาดทุนมากถึง 75% ในขณะที่กองทุนรวมที่ขาดทุนมากกว่า 75% มีเพียง 4 กองทุนเท่านั้น แสดงว่า แม้ในภาวะที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของตลาด การกระจายความเสี่ยงก็ยังคงทำงาน เพียงแต่อาจให้ประสิทธิภาพที่ลดลง
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง (correlation) ระหว่างสินทรัพย์เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ควรให้ความสำคัญทั้งผลตอบแทน ความเสี่ยง และ correlationการจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative asset class) ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงหมดไป และยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงของตลาดไม่ต่างกับสินทรัพย์ดั้งเดิม (Traditional asset class) และสินทรัพย์ทางเลือกก็มิได้มี correlation ผกผันกับสินทรัพย์ดั้งเดิม
เหตุการณ์ในปี 2008 กระทบต่อภาพรวมทั้งหมด ในส่วนของ hedge fund ก็ขาดทุนอย่างมากเช่นกัน และผลตอบแทนของ hedge fund ขึ้นอยู่กับ systematic beta return (ผลตอบแทนของตลาด) มากกว่า alpha (ผลตอบแทนที่ได้จากการบริหารพอร์ตลงทุนแบบ active ) และคิดค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูง ซึ่งในอนาคตเห็นว่าผลตอบแทนจาก alpha มีแนวโน้มลดลง โดย alpha ก่อนปี 2008 อยู่ที่ประมาณ 4% และในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2%
สำหรับการลงทุนในสถานการณ์ที่ตลาดไม่ปกติ (non normal market) ควรวัดค่าการกระจายข้อมูลทางสถิติควรใช้ truncated levy flight distribution ซึ่งสามารถอธิบายผลตอบแทนและความเสี่ยงได้ดีกว่า normal distribution มีค่าพารามิเตอร์เพียง 2 ตัว ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ แม้ว่าจะช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะตราสารได้ แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงของตลาดอยู่ ผู้ลงทุนที่ต้องการบริหารความเสี่ยงในส่วนนี้อาจต้องทำการป้องกันความเสี่ยง (hedging) หรือลงทุนในตราสารที่คุ้มครองเงินลงทุน (principle protected) แทน