กรุงเทพฯ--19 ต.ค.--เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น
บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร “ออฟฟิศเมทและTrendyday.com” ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน และสินค้าเกี่ยวกับชีวิตประจำวันผ่านระบบแค็ตตาล็อก โดยสั่งซื้อผ่านระบบ Call Center ระบบออนไลน์ (e-Commerce) และระบบสั่งซื้ออิเล็กทรอนิกส์เฉพาะแต่ละองค์กร (e-Procurement) ประกาศการเข้าควบรวมกิจการ พร้อมจับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ออฟฟิซ คลับ (ไทย) จำกัด ผู้บริหารร้าน “ออฟฟิศ ดีโป” ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน และบริการธุรกิจครบวงจร และบริษัท บีทูเอส จำกัด ผู้บริหารร้าน “บีทูเอส” ผู้นำในการดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายหนังสือ สื่อบันเทิง เพลง ภาพยนตร์ และเครื่องเขียนครบวงจรอันดับหนึ่งในประเทศไทยของกลุ่มจิราธิวัฒน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการและขยายฐานลูกค้า เตรียมธุรกิจพร้อมรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมมือระหว่างออฟฟิศเมท กับ ออฟฟิซ คลับ (ไทย) และบีทูเอสน่าจะก่อให้เกิด Synergy ขึ้นอย่างมาก ด้วยแต่ละบริษัทมีความชำนาญในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน สามารถเสริมจุดเด่นและปรับปรุงจุดด้อยในการทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยออฟฟิศเมทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการซื้อขายระบบแค็ตตาล็อก โดยรับคำสั่งซื้อผ่านระบบ Call Center ระบบออนไลน์ (e-Commerce) และระบบสั่งซื้ออิเล็กทรอนิกส์เฉพาะแต่ละองค์กร (e-Procurement) รวมถึงแบรนด์ออฟฟิศเมทและ Trendyday.com ต่างก็เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในประเทศไทย ในขณะที่บีทูเอสและ คลับ (ไทย) เป็นธุรกิจค้าปลีกเฉพาะด้านอันดับหนึ่งของไทย มีร้านค้ากระจายสินค้าถึง 117 แห่ง ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ การรวมกันในครั้งนี้ส่งผลให้ออฟฟิศเมทมีช่องทางการให้บริการเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งบีทูเอสสินค้าหลักก็คือหนังสือ สื่อบันเทิง เพลง ภาพยนตร์ (Edutainment) ซึ่งเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้าของออฟฟิศเมท และช่วยขยายฐานลูกค้าของออฟฟิศเมทให้ครอบคลุมในหลายกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น”
ด้านนายทศ จิราธิวัฒน์ ในนามกลุ่มจิราธิวัฒน์ กล่าวว่า “การโอนธุรกิจทั้งสองให้กับออฟฟิศเมทซึ่งเป็นผู้นำตลาดค้าปลีกออนไลน์จะทำให้ลูกค้าของทั้งสามบริษัทได้รับประโยชน์ โดยลูกค้าจะมีช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมีสินค้าหลากหลายที่พร้อมสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน เรามั่นใจว่า การดำเนินธุรกิจภายหลังการรวมกิจการจะเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพการให้บริการ และสนองตอบความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นนอกจากนี้ นายวรวุฒิจะเข้ามามีบทบาทในการผลักดันสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ อย่างเต็มตัว เพื่อเตรียมพร้อมรับการเปิดตลาดเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้า”
นายทศ จิราธิวัฒน์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภายหลังการรวมกิจการในครั้งนี้ จะมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการของออฟฟิศเมทและการบริหารจัดการธุรกิจเพื่อเสริมความคล่องตัวและก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน โดยนายวรวุฒิจะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทออฟฟิศเมท บริหารจัดการธุรกิจหลักของทั้ง 3 บริษัท คือ บริษัทออฟฟิศเมทเดิม บริษัท ออฟฟิซ คลับ (ไทย) และบริษัทบีทูเอส ซึ่งรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ และทีมบริหารจะมีการหารือกับนายวรวุฒิเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง”
ประมาณการสินทรัพย์บีทูเอส และ ออฟฟิซ คลับ (ไทย) ณ สิ้นปี 2555 มีมูลค่ารวมกันกว่า 3,400 ล้านบาท และมียอดขายรวมกว่า 6,700 ล้านบาท ดังนั้น ภายหลังการควบรวมกิจการในครั้งนี้ จะส่งผลให้ออฟฟิศเมทมีสินทรัพย์รวมกว่า 4,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดขายรวมกว่า 8,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ ออฟฟิศเมทจะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 240 ล้านหุ้น ในการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของ ออฟฟิซคลับ (ไทย) และบีทูเอสดังกล่าว โดยสัดส่วนการถือครองหุ้นภายหลังการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนคิดเป็นอัตราส่วน 3 ต่อ 1 กล่าวคือ กลุ่มจิราธิวัฒน์จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของออฟฟิศเมทในสัดส่วนร้อยละ 75 ในขณะที่กลุ่มตระกูลอุ่นใจและกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของออฟฟิศเมทจะถือหุ้นในสัดส่วนรวมกันร้อยละ 25
ในการนี้ ออฟฟิศเมทจะเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติอนุมัติการเข้าทำรายการดังกล่าว พร้อมยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยอ้อมก่อนที่จะย้ายเข้าซื้อขายใน Board SET ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในเบื้องต้นคาดว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะมีมติรับหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทและสามารถทำรายการได้ภายในปี 2555
นอกจากนั้น ภายหลังการเข้าทำรายการแล้วเสร็จ ตัวแทนกลุ่มจิราธิวัฒน์จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของออฟฟิศเมทภายใต้ระเบียบข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต)