กรุงเทพฯ--25 ต.ค.--จริงใจครีเอชั่น
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศ จังหวัดชลบุรี เฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร โดยการจัดวางเรือรบที่ปลดประจำการเพื่อเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลและแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำ เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
นายศักดิ์ดา นพสิทธิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศ จังหวัดชลบุรี เฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร ณ ลานอเนกประสงค์ท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย พัทยา จังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนายบุญชอบ สุทธิมนัสวงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายโสภณ ทองดี ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมตัวแทนจากกองทัพเรือและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
นายศักดิ์ดา นพสิทธิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศฯ เป็นนโยบายที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการเพื่อมุ่งหวังให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรทางทะเล จนสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นไปอย่างสมดุล สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาหลักการเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้รับการปกป้อง ดูแล รักษาและฟื้นฟูให้คงความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นอุทยานการเรียนรู้สำหรับศึกษาทรัพยากรธรรมชาติใต้ท้องทะเล ให้กับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ประชาชน นักท่องเที่ยวในพื้นที่ ให้มีความรู้ ความเข้าใจเห็นความสำคัญคุณค่า และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง และเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง โดยกองทัพเรือได้ส่งมอบเรือรบหลวงปลดระวาง จำนวน 6 ลำ เพื่อนำไปจัดวางในพื้นที่ทะเลฝั่งอันดามันจำนวน 4 ลำ และท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย จำนวน 2 ลำ ได้แก่ เรือรบหลวงมัตโพน วางในพื้นที่เกาะมันนอก จังหวัดระยอง และเรือรบหลวงเภตรา วางในพื้นที่เกาะล้าน จังหวัดชลบุรี
ด้าน นายบุญชอบ สุทธิมนัสวงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า โครงการจัดวางเรือรบที่ปลดประจำการเพื่อเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลนั้นจะสามารถช่วยลดจำนวนนักท่องเที่ยวดำน้ำออกจากแนวปะการังธรรมชาติ ลดผลกระทบความเสียหาย เปิดโอกาสให้แนวปะการังได้พักฟื้นตัว และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นจะช่วยสร้างแรงจูงใจรณรงค์ปลูกจิตสำนึกแก่นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป ให้เกิดความสนใจเห็นคุณค่าความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง และให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวทรัพยากรธรรมชาติต่อไปในอนาคต