กรุงเทพฯ--29 ต.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บลจ.ไอเอ็นจี เดินหน้าลุย ‘กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)’เสนอขายระหว่าง 29 ต.ค.ถึง 5 พ.ย.นี้มั่นใจแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อ สร้างผลตอบแทนเข้าเป้า
บลจ.ไอเอ็นจี เดินหน้าตอกย้ำความสำเร็จของกองทุนกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคมถึง 5 พฤศจิกายนนี้ มั่นใจในการบริหารกองทุนให้เข้าถึงผลตอบแทนเป้าหมาย หลังจากกองทุนก่อนหน้าทั้งทริกเกอร์ 5 และทริกเกอร์ 6 ใช้เวลาบริหารเพียงแค่ 3 เดือน 19 วัน ชี้ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจาก แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ยังสดใส คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าลงทุนในภูมิภาคเอเชียที่ยังคงมีพื้นฐานโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐที่เน้นการการลงทุนเมกะโปรเจ็ค การลงทุนภาคเอกชน และกระตุ้นการบริโภคของประชาชนภายในประเทศ
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไอเอ็นจี เตรียมเสนอขายกองทุนใหม่ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7) - ING Thai Trigger 10% Fund (7)” ซึ่งเป็นกองทุนใหม่ล่าสุดในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูง และเน้นการใช้เทคนิคเรื่องการเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย โดยเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV)เพิ่มขึ้นจากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 10 บาท ไปอยู่ที่ 11 บาทต่อหน่วย ณ วันใดวันหนึ่ง กองทุนก็จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมด พร้อมเลิกกองทุน (โดยกองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการ ถัดจากวันที่มูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ระดับ 11.00 บาท โดยจะนำเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นจ์)
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีจุดเด่นอยู่ที่การเป็นกองทุนผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพตลาด ทำให้สามารถบริหารการลงทุนได้เป็นอย่างดีในทุกช่วงภาวะตลาดการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมา กองทุนในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ภายใต้การบริหารจัดการของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ประสบความสำเร็จและสามารถเข้าถึงผลตอบแทนเป้าหมายได้ โดยล่าสุดกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5) และ (6) สามารถสร้างผลตอบแทนเป้าหมายได้ หลังจากลงทุนเพียงแค่ 3 เดือน 19 วัน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ คือ 10.44% และ 10.37% ตามลำดับ
ในขณะที่ นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เนื่องจากอัตราปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับเงินปันผลเฉลี่ยของประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งถือว่าสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของทุกประเทศทั่วโลก เช่น 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนปันผลเฉลี่ย 4.3% ในขณะที่ประเทศ เช่น เกาหลีใต้ให้ปันผลเฉลี่ยเพียง 1.6% และฟิลิปปินส์มากสุดก็เท่ากับ 3.4% เท่านั้น และใน 2-3 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยก็ยังน่าจะสร้างผลตอบแทนปันผลเฉลี่ยในอัตราที่สูงกว่าต้นทุนดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำมากทั่วโลก ที่สำคัญกว่านั้น แนวโน้มการทำกำไรของตลาดหุ้นไทย (Earnings Consensus) จากข้อมูล Bloomberg (ณ กันยายน 2555) พบว่าใน 3-4 ปียังเห็นเป็น uptrend เหมือนกับในช่วงปีรัฐบาลสมัยที่เริ่มลงทุนในอีสเทิรน์ซีบอร์ด
นอกจากนั้นแล้ว การลงทุนของเหล่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจให้พร้อมที่แข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติได้อย่างทัดเทียมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ การเปิดรับประชาคมอาเซียน หรือ AEC ที่จะมีขึ้นในปี 2558 นับเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้เริ่มระบบการเชื่อมโยงระบบการซื้อขายในตลาดทุนระดับอาเซียน หรือ ASEAN Trading Link กับตลาดหุ้นมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งระบบดังกล่าวจะก่อให้เกิดความร่วมมือของตลาดทุนอาเซียน 4 ด้าน คือ การส่งเสริมธุรกรรมข้ามตลาด การพัฒนาช่องทางการเข้าถึงหลักทรัพย์อาเซียนให้สะดวกและง่ายขึ้น การออกผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงหลักทรัพย์อาเซียนและการเพิ่มสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้เชื่อว่า ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยจะทำให้นักลงทุนจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ยังกล่าวด้วยว่า มาตรการกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐจะเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้น จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นในด้านการลงทุนของภาครัฐจากโครงการเมกะโปรเจ็คที่คาดว่าจะเริ่มมีเงินลงทุนเข้าสู่ระบบในปี 2556 รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น และการกระตุ้นการบริโภคของประชาชนภายในประเทศ นับเป็นการเร่งการลงทุนเพื่อขยายการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ส่งผลให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระดับภูมิภาคจากการกระจายความเจริญแบบสังคมเมืองไปสู่ชนบท (Urbanization) จากความมั่งคั่งและกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นตามมา
สำหรับเป้าหมาย SET Index สำนักวิจัยหลายแห่งได้ปรับเป้าหมาย SET Index ในปี 2556 ไว้ที่ระดับ 1420-1450 จุด ซึ่งมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 10%-12% รวมทั้งการที่รัฐบาลลดภาษีนิติบุคคล ลงเหลือ 20% ในปี 56 ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 2556 จะเติบโตที่ระดับ 13%-16% จากสัดส่วน P/E ของไทยที่ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสัดส่วน forward P/E ในภูมิภาคที่ 13-14 เท่า
นายจุมพลกล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลดีต่อทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป และหากพิจารณาการลงทุนในช่วงนี้นับเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่จะสามารถทำให้ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” มีโอกาสถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยคาดหวังว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ประกอบกับนโยบายการลงทุนที่ยืดหยุ่นมากขึ้นทำให้มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเป้าหมายที่ง่ายขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพในการจับจังหวะเข้าออก รวมทั้งการคัดกรองหุ้นที่มีคุณภาพ มีโอกาสในการเติบโต จะทำให้กองทุนสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนภายในระยะเวลาที่เหมาะสม” นายจุมพลกล่าว
ทั้งนี้ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” จะเสนอขายระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม — 5 พฤศจิกายน 2555 โดยกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำ 2,000 บาท ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) โทรศัพท์ 02-688-7777 กด 2 หรือ www.ingfunds.co.th หรือธนาคารทหารไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต ของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต