วอเนอร์ เสนอเรื่องย่อภาพยนตร์ The Polar Express

ข่าวทั่วไป Tuesday September 21, 2004 10:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ก.ย.--วอเนอร์ บราเธอร์ส
ในคืนหิมะตกก่อนวันคริสต์มาส เด็กชายตัวน้อยนอนลืมตาอยู่ในห้องของเขา ทั้งตื่นเต้นและเตรียมพร้อม ลมหายใจแผ่วเบา แทบไม่กระดิกตัว เฝ้าคอยเขากำลังเงี่ยหูฟังเสียงที่เขาหวั่นใจว่าจะไม่มีวันได้ยิน — เสียงกระดิ่งของรถเลื่อนซานต้า เวลาในขณะนั้นคือห้านาทีก่อนเที่ยงคืน
ทันใดนั้น เด็กชายก็ต้องสะดุ้งตกใจด้วยเสียงกึกก้องกัมปนาท เมื่อเขาเช็ดถูฝ้าออกจากกระจกหน้าต่าง ก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้ต้องประหลาดใจอย่างมาก — รถไฟสีดำเป็นมันวับที่ส่งเสียงดังสนั่นในขณะที่จอดลงตรงหน้าบ้านของเขาพอดี ไอน้ำที่พลุ่งออกมาจากเครื่องอันทรงพลังทำเสียงฟู่ๆ ในท้องฟ้ายามราตรีซึ่งมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอย่างนุ่มนวล เด็กชายรีบวิ่งออกไปนอกบ้าน ทั้งตัวสวมเพียงชุดนอนและรองเท้าแตะ เขาพบกับนายตรวจตั๋วรถไฟซึ่งดูเหมือนว่ากำลังคอยเขาอยู่เพียงคนเดียว “เอ้า จะไปด้วยกันหรือเปล่า?” นายตรวจถาม
“ไปไหนฮะ?” “อ้าว ก็ขั้วโลกเหนือน่ะซี นี่รถด่วนโพลาร์ เอ็กซ์เพรสนะ!”
เทศกาลวันหยุดนี้ ทีมงานเจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง นักแสดง ทอม แฮงค์ส และผู้กำกับการแสดง โรเบิร์ต เซเมคคิส (Forrest Gump, Cast Away) ร่วมงานกันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Polar Express, ในการผจญภัยที่เร้าใจ จากหนังสือเด็กอันเป็นที่รักของทุกคน โดย คริส แวน ออลสเบิร์ก ที่ได้รับรางวัล Caldecott Medal
เมื่อถึงเด็กชายผู้มีความสงสัย ได้ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษไปยังขั้วโลกเหนือ และออกเดินทางเพื่อค้นหาให้พบตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามหัศจรรย์แห่งชีวิตนั้นไม่เคยจางหายไปสำหรับผู้ที่มีความเชื่อโดยการผสมผสานการเล่าเรื่องราวที่แสนคลาสสิค เข้ากับการสร้างหนังที่เฉียบขาด เรื่อง The Polar Express จะเปิดตัวเทคโนโลยีการสร้างภาพยนตร์ชั้นสูง ที่พัฒนาและปรับแต่งให้เหมาะสมกับวิสัยทัศน์ที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซเมคคิส และเป็นภาพยนตร์เรื่องเรกที่เคยมีการถ่ายทำด้วยรูปแบบชนิดนี้ทั้งเรื่อง Sony Pictures Imageworks โดยผู้ควบคุมอาวุโสด้านงานวิชวลเอ็ฟเฟ็ค เคน แรลสตัน เจ้าของห้ารางวัลออสการ์ และ เจโรม เชน ผู้เข้ารอบปี 2000 จะเป็นผู้ที่ช่วยทำให้เรื่องราวแห่งเทศกาลวันหยุดนี้ให้มีชีวิต ด้วยภาพแอนิเมชั่น CG ซึ่งเป็นขั้นตอนการสร้างภาพในรุ่นอนาคตของ Imageworks ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางเทคนิคที่ทำให้การแสดงไลฟ์แอ็คชั่นของนักแสดง เป็นตัวขับเคลื่อนอารมณ์ และการเคลื่อนไหวของตัวละครที่เป็นดิจิตัล แบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน นับเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งอิสระและทางเลือกของการสร้างสรรค์ให้แก่นักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ คาสเซิล ร็อค เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ร่วมกับ แชงกรี-ล่า เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างของ Playtone / ImageMovers / Golden Mean Production : ทอม แฮงค์ส ในภาพยนตร์โดย โรเบิร์ต เซเมคคิส เรื่อง The Polar Express กำกับการแสดงโดย โรเบิร์ต เซเมคคิส จากบทภาพยนตร์โดยเซเมคคิส & วิลเลียม บรอยล์ส จูเนียร์, อำนวยการสร้างโดย สตีฟ สตาร์คีย์, โรเบิร์ต เซเมคคิส, แกรี่ โกตซ์แมน และวิลเลียม ทีทเลอร์ อิงจากหนังสือ โดย คริส แวน ออลส์เบิร์ก; อำนวยการบริหารโดย ทอม แฮงค์ส, แจ็ค แร็พเก้ และคริส แวน ออลส์เบิร์ก ทีมงาน ได้แก่ ผู้กำกับภาพ ดอน เบอร์กีส A.S.C. และโรเบิร์ต เพรสลีย์; ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ ได้แก่ ริค คาร์เตอร์ และดัค เชียง; และผู้ลำดับภาพ ได้แก่ เจเรเมียห์ โอ’ดริสโคล และ อาร์ ออร์แลนโด ดูเอแนส ; ผู้ควบคุมอาวุโสด้านงานวิชวลเอ็ฟเฟ็ค เคน แรลสตัน และ เจโรม เชน; ผู้อำนวยการสร้างร่วม ได้แก่ สตีเวน บอยด์ ; ดนตรีประกอบโดย อลัน ซิลเวสทรี และออกแบบเครื่องแต่งกายโดย โจแอนนา จอห์นสตัน
The Polar Express จัดจำหน่ายทั่วโลกโดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ในกลุ่มบริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ อัลบั้มซาวนด์แทร็ค โดย Warner Sunset/Reprise Records
“ไม่สำคัญหรอกว่ารถไฟจะไปไหน ที่สำคัญคือการตัดสินใจขึ้นรถ”
ทีมผู้สร้างหลงในเสน่ห์นิทานเทศกาลแสนคลาสสิค
เกือบ 20 ปีแล้ว ที่ครอบครัวทั่วโลกได้ทำให้เรื่องราวที่มีเสน่ห์ของ คริส แวน ออลสเบิร์ก The Polar Express กลายเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองในเทศกาลวันหยุดของพวกเขา สิ่งที่มีค่าที่สุดของเทศกาลอย่างเช่นการแขวนถุงเท้าไว้ข้างเตาผิง การแลกเปลี่ยนคำอวยพร และการสังสรรค์กันในระหว่างเพื่อนฝูงและคนในครอบครัว “มันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำปีที่ผมจะต้องอ่านหนังสือให้ลูกชายฟังในขณะที่เขาเติบโตขึ้น และนั่นไม่เคยทำให้เขาผิดหวังในความมหัศจรรย์” โรเบิร์ต เซเมคคิส ผู้สร้างภาพยนตร์เล่า เขาเป็นแฟนหนังสือมาตั้งแต่การตีพิมพ์เมื่อปี 1985 “จินตนาการนั้นมีความเป็นอีกโลกหนึ่ง ที่อยู่ตรงไหนสักแห่งระหว่างความฝันและความเป็นจริง ซึ่งดึงดูดใจในความลึกลับของคืนวันคริสต์มาสที่น่ากระวนกระวาย”
“มันมีองค์ประกอบที่เป็นสัญชาติญาณในเรื่อง ซึ่งผมหวังว่ามันจะส่งเสียงผ่านทางจอภาพยนตร์ได้” ทอม แฮงค์ส กล่าว ตัวเขาเองเป็นคุณพ่อลูกสี่ ซึ่งเคยอ่านนิทานก่อนนอนมาแล้วจนนับชั่วโมงไม่ถ้วนด้วยตัวเขาเอง เขาและหุ้นส่วนที่ Playtone ผู้อำนวยการสร้าง แกรี่ กอทซ์แมน ได้เสนอไอเดียของการสร้างเป็นภาพยนตร์จอใหญ่กับผู้เขียน แวน ออลสเบิร์ก และผู้อำนวยการสร้าง วิลเลียม ทีทเลอร์ และในที่สุดบรรดาหุ้นส่วนที่ Golden Mean Productions กับแฮงค์ส ก็ได้นำเอาโครงการไปเสนอกับเพื่อนที่รู้จักกันมานานอย่างเซเมคคิส คู่หูเจ้าของรางวัลออสการ์ เคยร่วมกัน ค้นคว้าในประเด็นที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณของมนุษย์มาแล้วในเรื่อง Forrest Gump และ Cast Away และทั้งสองต่างตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งสำคัญของจิตวิญญาณแห่งพระเอกตัวน้อยใน The Polar Express
หนังสือเรื่อง The Polar Express ซึ่งเป็นที่รักของบรรดาเด็กๆ นั้น ยังดึงดูดใจบรรดาผู้ใหญ่อีกด้วย พวกเขาได้เห็นตัวเองผ่านตัวละครเด็กชายน้อย และจดจำความตื่นเต้นวัยเด็กของพวกเขาเอง และการรอคอยให้ถึงคืนที่สำคัญที่สุดของปี บางทีพวกเขาอาจยังจำได้ถึงช่วงเวลาแห่งความสงสัยที่ได้คืบคลานเข้าสู่หัวใจวัยเด็กเป็นครั้งแรก และสำนึกได้ว่าการโตเป็นผู้ใหญ่ อาจหมายถึงการสูญเสียสิ่งที่มีค่าบางอย่างและสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ไปตลอดกาล บางสิ่งที่พวกเขาอธิบายไม่ได้แต่รู้สึกได้อย่างแน่นอน The Polar Express เป็นเรื่องราวของช่วงเวลา ซึ่งเป็นรอยต่อของความไร้เดียงสาและความเป็นผู้ใหญ่ ที่ เด็กคนหนึ่งสามารถเลือกทางเดินเส้นหนึ่งที่จะปิดกั้นหัวใจของเขาไปตลอดกาล หรือบนอีกเส้นทางหนึ่งที่เขาจะได้เรียนรู้ว่า ศรัทธานั้นไม่มีอายุ ไม่มีกฎเกณฑ์ และไม่มีข้อจำกัด
“หนังสือได้นำพาผมไปสู่สิ่งที่ผมเรียกว่า ‘ช่องแห่งการตื่น’ อย่างเห็นได้ชัด ว่าสภาวะของความคิดในระหว่างการหลับและการตื่น ที่เป็นการทดสอบในความเป็นจริง แต่ยังมองเห็นได้ในภาพความฝัน และเรามีความอ่อนไหวต่ออารมณ์หลากหลายที่ไหลผ่านเข้ามา” สตีฟ สตาร์คี ผู้อำนายการสร้าง ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของเซเมคคิสมายาวนานกล่าว และเขาได้รับรางวัลจากเรื่อง Forrest Gump “ผมบอกกับบ็อบว่า ‘นี่เป็นที่ๆ คุ้มกับการพาผู้ชมไป’”
เซเมคคิส ซึ่งเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับวิลเลียม บรอยล์ส จูเนียร์ (Cast Away, Apollo 13) และยังได้กำกับฯ เรื่อง The Polar Express, ยอมรับเรื่องนี้ “มันเป็นเรื่องที่ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พวกเราหลายคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีคำถามเกี่ยวกับความเชื่อของเรา หรือไม่ก็เคยผ่านขั้นตอนของการทดสอบศรัทธาและเรียกมันกลับคืนมา พวกเด็กๆ สามารถติดตามเรื่องราวได้ด้วยการอ่าน กับการเดินทางตามหาซานตาคลอส ในขณะที่ผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นการอุปมาสำหรับความคิดที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ซึ่งสื่อถึงสัญลักษณ์ของคริสต์มาส แต่ในใจกลางก็คือเรื่องราวของคนทั่วโลกที่เกี่ยกวับความเชื่อในสิ่งที่เราไม่ได้เห็นหรือเข้าใจอย่างถ่องแท้
“หวังเป็นอย่างยิ่ง” ผู้กำกับฯ กล่าวต่อ “ว่าเมื่อเราอายุมากขึ้น เราจะไม่ดูแคลนผู้อื่นเสียจนเลิกเชื่อ ความคิดเรื่องคริสต์มาสคือความอบอุ่นและความไม่เห็นแก่ตัว ซานตาคลอสเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ว่า แต่เราไม่จำเป็นต้องเชื่อในตัวเขาเพื่อให้มีความรู้สึกนั้น”
เมื่อได้ขึ้นรถไฟแล้ว เด็กชายก็ได้พบกับเด็กๆ อีกหลายคน แต่ละคนต่างมีกรณีของตนเองและบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ “เหมือนกับเรื่อง The Wizard of Oz, ค่อนข้างมาก” แจ็ค แรพเก้ ผู้อำนวยการบริหารเล่า “เด็กแต่ละคนที่ขึ้นรถวิเศษนี้ มีการเดินทางส่วนตัวของแต่ละคน และต้องค้นหาสิ่งที่ขาดหายไปเพื่อทำให้ตัวเองสมบูรณ์ มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ ความมุ่งมั่น และความเฉลียวฉลาดที่จะเป็นผู้นำได้ แต่เธอขาดความมั่นใจในตัวเอง เด็กชายรู้หมดที่ขาดการรู้จักถ่อมตน และเด็กชายอีกคนที่ชื่อว่าโลนลี่บอย เขาโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ไร้ความรัก และต้องมีศรัทธาในคนอื่นๆ แก่นของเรื่องที่เข้มข้นเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีผลต่ออารมณ์ภายในของตัวละคร ในระหว่างที่ได้พบเจอกับความตระการตาของการเดินทางภายนอก เมื่อรถไฟกำลังวิ่งเพื่อมุ่งหน้าไปสู่ขั้วโลกเหนือ”
ผู้เขียนและศิลปิน คริส แวน ออลสเบิร์ก หนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับยกย่องอย่างมากที่สุดในวงการวรรณกรรมเด็ก เคยได้รับรางวัล Caldecott Medal เมื่อปี 1986 จากผลงานวาดภาพสีน้ำมันที่บรรยายถึงเรื่อง The Polar Express มีชื่อเสียงในความมีจินตนการและนิทานต้นฉบับของเขา แวน ออลสเบิร์ก เริ่มต้นอาชีพงานด้านหนังสือของเขาในเรื่อง The Garden of Abdul Gasazi ในปี 1979 ซึ่งทำให้ได้รับคำชื่นชมโดยไม่ได้คาดหมายมาก่อน และรางวัล Caldecott Honor Award ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่หาได้ยากยิ่งในการตีพิมพ์เป็นครั้งแรก ผลงานที่ตามมาของเขาได้แก่เรื่อง Jumanji ที่เต็มไปด้วยสีสัน ในปี 1981 (ใช้เป็นข้อมูลสำหรับภาพยนตร์ปี 1995 ซึ่งนำแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์) และ The Polar Express ในปี 1985 — ทั้งสองเรื่องได้รับรางวัล Caldecott Medal ทำให้แวน ออลสเบิร์กกลายเป็นหนึ่งในบรรดานักเขียนกลุ่มน้อย ที่ได้รับรางวัลทรงเกียรตินี้ถึงสองครั้งด้วยกัน
“พวกเด็กๆ ที่โชคดีคือคนที่ได้รู้จักว่ามีชายร่างอ้วนอารมณ์ดีในชุดสีแดงซึ่งขับรถเลื่อนเหาะได้” แวน ออลสเบิร์กบอก และเช่นกันที่เขาให้เครดิตกับผู้ใหญ่ที่สามารถก้าวข้ามไปสู่วัยแห่งวุฒิภาวะได้โดยไม่โยนทิ้งสัมผัสมหัศจรรย์ “เราควรอิจฉาพวกเขา การที่คนมีความเชื่อในเรื่องที่มหัศจรรย์ อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล หรืออาจทำให้ถูกหลอกได้ง่าย แต่นั่นเป็นพรสวรรค์ที่แท้จริง โลกของคนที่คิดว่ามีบิ๊กฟุต และสัตว์ประหลาดล็อคเนส เป็นอะไรที่อยู่เหนือกว่าพวกที่คิดว่าไม่มี”
สำหรับเรื่องราวของพระเอกตัวน้อย ความจริงอย่างที่สุดที่เขาปีนขึ้นไปบนรถไฟ เมื่อมันหยุดรับเขานั้น บ่งว่าความคิดและหัวใจของเขายังเปิดกว้าง อย่างที่นายตรวจได้ให้คำแนะนำว่า “ไม่สำคัญหรอกว่ารถไฟจะไปไหน ที่สำคัญคือการตัดสินใจขึ้นรถ”
การสร้างภาพภูมิทัศน์ให้มีมนตร์ขลังเหมือนตัวเรื่องราว
เซเมคคิสเองก็ประทับใจในการบรรยายที่เข้มข้นและโดนใจของหนังสือ ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากใบหน้าของบรรดาเด็กๆ ในห้องโดยสารแสนสบายของรถไฟโพลาร์เอ็กซ์เพรส ในขณะที่ภายนอกรถคือทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ซึ่งกลายเป็นการเชิญชวนสู่ความลี้ลับแห่งป่าลึกและภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ
“การบรรยายภาพของคริสเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและเป็นที่คุ้นเคย และในเวลาเดียวกันก็ช่าวเหนือธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์” เซเมคิสกล่าว เขาเสาะหาวิธีที่จะสร้างคุณภาพเหล่านั้นไว้ในจอ และนำเสนอแก่ผู้ชมซึ่งจะสามารถสัมผัสกับการเดินทางสู่ขั้วโลกเหนือในยามเที่ยงคืนผ่านสายตาของเด็กชายตัวน้อย ”มันง่ายที่จะได้เห็นตัวเราเอง ลูกๆ ของเรา หรือเด็กๆ ที่โตมากับเรา ในใบหน้าและบุคลิกที่ของตัวละครเหล่านี้ และภูมิทัศน์ที่รถไฟแล่นผ่านไปก็เป็นเหมือนความฝันที่เราทุกคนมีเกี่ยวกับสถานที่ไกลโพ้น ที่ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์และน่าตื่นเต้นอาจเกิดขึ้นได้”
แฮงค์สทบทวนให้ฟังว่า เขาและเซมิคคิสเห็นพ้องกันว่ามันคงเป็นความคิดที่ดี “ที่จะสร้างภาพวาดแต่ละภาพในหนังสือขึ้นมาในแต่ละช่วงของหนังตลอดเรื่อง เราอาจจะสร้างภาพยนตร์ที่ดีเลิศ ซึ่งจะนำเสนอจิตวิญญาณของวันคริสต์มาสในแนวใหม่เอี่ยม” เซเมคิสกล่าวเสริมว่า “เราอยากนำเสนอความงดงามและเข้มข้นของภาพที่คริสได้วาดไว้ในหนังสือ ให้เหมือนกับว่ามันเป็นภาพสีน้ำมันที่เคลื่อนไหวได้ เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความตรงไปตรงมา และความเรียบง่ายของการแสดงออกของคนเรา”ทว่าจะทำอย่างไรเล่า?
ไม่เพียงแต่ที่งานหนังแอ็คชั่นประเภทนี้ ซึ่งต้องมีภูมิทัศน์ห่างไกลจากชีวิตปกติ จะทำได้ยากเย็นแสนเข็ญ หรือเป็นไปไม่ได้เอาเลย เพราะความขาดแคลนองค์ประกอบที่แจ่มแจ้ง อย่างที่ทีมผู้สร้างถูกผูกมัดในการสร้างขึ้นมา อีกหนึ่งทางลือกที่เป็นไปได้ — แอนนิเมชั่น — ก็ยังมีข้อจำกัดของมัน “ปัญหาของงานแอนิเมชั่นทั่วไปสำหรับหนังประเภทนี้” เซเมคคิส ผู้ที่ไม่ระย่อกับการใช้เทคนิคในทางที่ถูกต้องบอก “ก็คือการที่ไม่สามารถเก็บรายละเอียดของลักษณะท่าทางมนุษย์ได้สมจริง สำหรับภาพที่เกินความเป็นธรรมชาติ งานแฟนตาซีอย่าง Snow White and the Seven Dwarves หรือการ์ตูน มันยอดเยี่ยมมาก แต่เรากำลังมองหาสิ่งที่มีชีวิตอย่างที่เป็นจริงได้”
เซเมคคิสนำความท้าทายนี้ไปหารือกับเคน ราลสตัน พ่อมดแห่งวิชวลเอ็ฟเฟ็ค เจ้าของตุ๊กตาทองหลายรางวัลจากผลงานของเขา และปัจจุบันเป็นผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็คอาวุโสที่ Sony Pictures Imageworks และผู้นำของวงการในด้านการผลิตงานดิจิตัล ราลสตันเคยร่วมงานกับเซเมคคิสมาก่อน ย้อนไปตั้งแต่ปี 1985 ในหนังแอ็คชั่นผจญภัยคอมเมดี้เรื่อง Back to the Future, หนังที่หัวใจของเรื่องเป็นที่จดจำอย่างมาก และการเล่าเรื่องอย่างหลักแหลม พอๆ กับงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คที่น่าตื่นตา ราลสตันเสนอแนวความคิดของการจับภาพเคลื่อนไหว ขั้นตอนที่การแสดงของดาราถูกเก็บไว้เป็นภาพดิจิตัลโดยกล้องคอมพิวเตอร์ และกลายเป็นพิมพ์เขียวของมนุษย์เพื่อใช้ในการสร้างตัวละครเสมือนจริง เซเมคคิสคุ้นเคยกับเทคนิคนี้ แต่ไม่เคยคาดหวังว่ามันจะถูกนำมาใช้ตามวัตถุประสงค์ของเขาในเรื่อง The Polar Express จากการทำงานที่เคยได้เห็นมา แต่สิ่งที่เพื่อนของเขาเล็งเห็นไม่ได้เป็นงานโม-แคพธรรมดาทั่วไป มันจะกลายเป็นก้าวที่ใหญ่เกินกว่ามาตรฐานปกติ ในการสร้างภาพที่ลึกซึ้งและซับซ้อนอย่างที่เซเมคคิสต้องการให้บังเอิญว่าราลสตัน และเพื่อนร่วมงานที่ Imageworks ของเขา เจโรม เชน ผู้ควบคุมอาวุโสด้านวิชวลอ็ฟเฟ็ค กำลังทำงานเกี่ยวกับขั้นตอนโม-แคพที่ล้ำสมัยในระดับเบื้องต้นอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากกว่าอะไรอื่นๆ ที่เคยได้เห็นกันมา
ระบบที่ได้รับการพัฒนาไปอย่างมากนี้ เป็นยิ่งกว่าภาพเคลื่อนไหวธรรมดา มันได้รับการออกแบบให้จับภาพการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น และการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์โดยละเอียดจากการแสดงของนักแสดง ลงลึกไปจนกระทั่งการกระพริบของเปลือกตา นอกจากนั้น ยังไม่เหมือนกับระบบโม-แคพที่ใช้กันอยู่ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านขอบเขต สามารถสร้างเป็นแบบสามมิติต่อเนื่อง และการเคลื่อนไหวของร่างกายและใบหน้าอย่างคมชัดจากนักแสดงหลายๆ คน ด้วยระบบกล้องดิจิตัลที่ถ่ายครอบคลุมได้ถึง 360 องศา
ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่าง Polar และทีมจาก Imageworks ทำการทดสอบขั้นตอนจริง โดยการใช้ทอม แฮงค์ส เป็นตัวทดลองรายแรก
“ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย” เซเมคคิสหล่าวถึงขั้นตอนบันลือโลกนี้ ซึ่งในที่สุดแล้ว — และอย่างเหมาะสมที่สุด — เป็นการให้กำเนิด Performance Capture “ตอนที่เราทดสอบและได้ผลกลับมา ดูเหมือนว่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานใน The Polar Express ”จริงๆ แล้ว” เขายอมรับ “ถ้าเกิดมันเป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีวิวัฒนาการมาถึงขั้นนี้ ผมก็คงไม่อยากเดินหน้าต่อไปกับโปรเจ็คนี้”
นี่คือหนทาง — ทางเดียวที่มี — เพื่อให้ได้ภาพวาดสีน้ำมันแห่งจินตนาการของภาพวาดโดยแวน ออลสเบิร์ก ให้มาอยู่บนจอภาพยนตร์ ในขณะที่ยังคงรักษาความตรงไปตรงมาของการแสดงออกที่แท้จริงของมนุษย์
อย่างที่ราลสตันอธิบายไว้ว่า “Performance Capture สร้างภาพที่มีชีวิตจากโลกของแวน ออลสเบิร์ก ในขณะที่สร้างสัมผัสความเป็นจริงที่เข้มข้นให้กลายเป็นการแสดง มันเป็นเหมือนการนำเอาวิญญาณของคนเป็นๆ มาใส่ลงในตัวละครเสมือนจริง”
ขั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มวัตถุดิบมีชีวิตจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องใช้ในการจับภาพและถ่ายทอดลงเป็นภาพดิจิตัล แต่ยังทำให้มีความยืดหยุ่นอย่างไม่มีใดเทียบ สำหรับทางเลือกในการเล่าเรื่องของผู้กำกับฯ ในขณะที่การลำดับภาพของหนังปกตินั้นขึ้นอยู่กับขอบเขตของการเก็บภาพในมุมต่างๆ ที่ฉากนั้นถูกถ่ายทำในระหว่างการทำงาน แต่เทคโนโลยี Performance Captureจะไม่มีการจำกัดขอบเขต ภาพจะขยายได้อย่างเต็มที่ จนทำให้เซเมคคิสสามารถสร้างช็อตจำเพาะในระหว่างขั้นตอนการตัดต่อได้ เขาอาจเลือกจากความลึกและมิติ และเลื่อนตำแหน่งตัวละครที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมไซเบอร์ เพื่อเน้นการแสดงออกทางอารมณ์หรือรายละเอียดอื่นๆ ทุกอย่างด้วยการเคลื่อนที่อย่างเป็นธรรมชาติของกล้อง
เอ็ฟเฟ็คแบบภาพวาดสีน้ำมัน นับเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเซเมคคิส และจะได้รับการจัดทำเป็นชั้นๆ ไป ระหว่างช่วงงานหลังการถ่ายทำ โดยการใช้วิธีการ CG The Polar Express นั้น เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำโดยการใช้ Performance Capture ทั้งเรื่อง
ผู้ที่เคยได้ชมฟุตเตจที่สมบูรณ์แล้วยืนยันว่ามันท้าทายการจำแนกประเภทอย่างง่าย การเปรียบเทียบที่คล้ายๆ กันก็คือไม่มีรอยต่อให้เห็น และมักถูกบรรยายถึงสิ่งที่ ไม่เหมือน — อย่างที่มันไม่ใช่งานแอนิเมชั่นทั่วไป — ไม่เชิงเป็นการจับภาพเคลื่อนไหว และไม่ใช่ไลฟ์แอ็คชั่นจริงๆ เป็นศิลปะที่เป็นตัวของมันเอง งานของ Performance Capture สร้างความบันลือโลกด้วยการนำเสนอภาพที่ไม่เหมือนอะไรที่เราเคยเห็นกันมาก่อน
เซเมคคิสไม่ใช่คนประเภทที่จะแนะนำเทคนิคใหม่ในจอภาพยนตร์เพื่อผลดีแก่ตัวมันเอง หากมองย้อนกลับไปในชีวิตการทำงานของเขา จะพบกับนวัตกรรมที่โดดเด่นหลายอย่าง ซึ่งเป็นการรับรองว่าทุกครั้งที่เขาสร้างสรรค์สิ่งที่ลือลั่นขึ้นมา ก็เพื่อใช้สำหรับงานในหนังแต่ละเรื่อง
ใน Forrest Gump, เป็นต้น ในฉากที่ทอม แฮงค์ส ในบท กัมพ์ จากนิยาย ดูสบายๆ และกลมกลืน ในฟุตเตจที่เขาต้องแสดงร่วมกับบุคคลในอดีตอย่าง ประธานาธิบดีเคนเนดี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงเอ็ฟเฟ็คนั้น เซเมคคิสพูดว่ามันเป็นเรื่องของความจริง “ตอนนั้นเรามีเรื่องราวของชายหนุ่มที่ได้พบปะกับบรรดาประธานาธิบดี มันมีอยู่ในสคริปท์ จึงคาดเดาได้ว่าเขาจะต้องแสดงการพบปะในหนังด้วย เราหาฟุตเตจภาพข่าวของการปรากฎตัวจริงๆ ของท่านประธานาธิบดี แล้วก็คิดหาทางทำมันด้วยคอมพิวเตอร์
“ตอนนี้การทำแบบนั้นเป็นเรื่องที่ง่าย” เขายอมรับ “แต่ตอนนั้นมันยากมาก”
ก่อนหน้าเรื่อง Forrest Gump เซเมคคิสได้หว่านเสน่ห์กับผู้ชมด้วยการผสมผสานแบบมีชีวิตชีวา ของไลฟ์แอ็คชั่นกับแอนิเมชั่นกวนประสาทของปี 1988 ในหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้คลาสสิคเรื่อง Who Framed Roger Rabbit?, ซึ่งเป็นการใช้เทคโลยีสดใหม่ที่ผู้กำกับฯ ยอมรับอย่างง่ายๆ ว่าเป็นการ “ใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ที่เราต้องทำให้ตัวการ์ตูนสองมิติเข้ามาอยู่ในโลกสามมิติ”
สิ่งที่ผลักดันเซเมคคิสก็คือการเล่าเรื่องในวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้ โดยเนื้อแท้แล้วเขาเชื่อว่า โดยการใช้หรือไม่ใช้เอ็ฟเฟ็คล้ำสมัย “สิ่งที่ตระการตาในโรงหนังก็คือการลวงตา แม้แต่เทคนิคพื้นฐานที่สุดก็คือการลวงตา — การคัท การโคลสอัพ มันไม่จริงทั้งนั้น มันเป็นเวทย์มนตร์ ไม่มีในชีวิตจริง ดังนั้น ถ้าเรามองมันแบบนั้น หนังทุกเรื่องก็คือภาพลวงตาทั้งหมด และบางอย่างที่ผมทำก็คือการขยายความมัน นั่นเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับการเป็นผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์
เบื้องหลังงานสร้าง
2046 เค้าโครงเรื่อง
มันเป็นปี 1966 เชา โม หวัน กลับมาสู่ฮ่องกงและต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่เขาได้ซ่อนเร้นเอาไว้ อดีตอันเกี่ยวเนื่องกับหญิงสาว : หญิงสาวหลายคน ในช่วงนั้น บางอย่างได้เกิดขึ้นกับเขา หัวใจของเขาเย็นชา และฝังเอาไว้ซึ่งความทรงจำบางอย่างที่เลือนหาย ไม่มีใครสักคนที่จะเข้าถึงเขาได้
เขาเขียนนิยายประโลมโลกราคาถูกเพื่อประทังชีวิต เขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องหมายเลข 2047 และหลังจากนั้นได้ไม่นานนักก็ได้เขียนนิยายที่เขาให้ชื่อมันว่า “2046” และในเรื่องนี้ ใครก็ตามที่ได้ขึ้นรถไฟที่มุ่งสู่ปลายทาง 2046 จะมีโอกาสย้อนสู่ความทรงจำแห่งอดีตที่สูญหายของตน ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ เพราะไม่มีใครเคยกลับมาจาก 2046
จนกระทั่งถึงปี 2046 รถไฟปริศนาขบวนนั้นก็ยังออกเดินทางอย่างสม่ำเสมอเพื่อไปสู่ 2046
2046 จุดกำเนิดของภาพยนตร์
หมายเลข 2046 นั้นมีความหมายว่าอย่างไร? ในปี 1997 เมื่อฮ่องกงถูกมอบคืนให้กับประเทศจีนนั้น ฮ่องกงได้รับทราบว่าทุกอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอีก 50 ปี และปี 2046 จะเป็นปีที่ครบคำสัญญานี้ ผู้กำกับการแสดงหว่องนั้นเกิดแรงบันดาลในจากคำสัญญาและตัวเลข เขาเกิดความสงสัยว่าเรื่องราวของความรักจะเป็นอย่างไรถ้ามันจะต้องเข้ามาเกี่ยงข้องกับตัวเลข เขายังได้ถามตัวเขาเองว่าจะมีอะไรในโลกนี้ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราตกหลุมรัก เรามักจะถามตัวเราเองว่า “เขาหรือเธอจะยังซื่อสัตย์กับฉันหรือเปล่า? และตัวของฉันเอง จะยังเหมือนเดิมไหม?” และภาพยนตร์เรื่อง 2046 เริ่มต้นจากตัวเลขนี้
กำกับการแสดงโดยหนึ่งในบรรดาผู้กำกับฯ ชื่อดังของฮ่องกง หว่อง กา ไว ภาพยนตร์เรื่อง 2046 นี้ เป็นผลงานร่วมสร้างระหว่าง เซียงไฮ้ ฟิลม์ สตูดิโอและ เจ็ท โทน ฟิลม์ ตามที่ผู้กำกับการแสดงหว่องกล่าวว่า “เรื่อง 2046 นี้มาถึงมือผมในเวลาเดียวกันกับที่เรากำลังทำงานเรื่อง In The Mood For Love กันอยู่ แต่ในขณะที่ตัวละครบางตัวมีส่วนคล้ายคลึงกัน เรื่อง 2046 นี้ ไม่ใช่ภาคต่อ“ เขายังกล่าวต่อไปอีกว่า “อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกและหลาย ๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวแสดงเรื่อง 2046 นั้นเป็นเค้าโครงและการขัดแย้ง ซึ่งลุ่มลึกและจริงใจยิ่งกว่า ซึ่งต้องการการเข้าสู่ตัวแสดงแตกต่างกันในการที่จะเล่นแต่ละบท ผมพบว่าเมื่อผมเหลียวมองไปรอบ ๆ ผู้เห็นหลายคนที่ผมรู้จักตกหลุมรักแล้วก็เลิกรัก และมีอีกหลาย ๆ คนที่ไม่เคยมีความสามารถที่จะเก็บความรักหรือรักอีกครั้งได้ และบางสิ่งบอกกับผม”
“เมื่อผมว่าคิดว่าอะไรคือความหมายของรักและการถูกรัก เรื่อง 2046 เข้ามาในความรู้สึกของผม เรื่อง 2046 นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้ความพยายามจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต: และฝังความทรงจำที่ตัวเขาเองไม่อาจจะลืมมันลงได้ เป็นสิ่งที่เขาต้องแบกรับมันและอยู่กับมันตลอดมา ซึ่งทำให้มันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินชีวิตต่อไปจากสิ่งที่เขาได้ทำและได้เห็น พวกเราทุกคนไม่ว่าจะด้วยความรู้สติหรือไม่ จะต้องทิ้งความทรงจำเอาไว้เบื้องหลังเพื่อจะเริ่มมีชีวิตใหม่ บางคนอาจจะทำมันเพียงแค่ครั้งเดียว และบางคนอาจจะทำเป็นประจำก็ได้ ภาพยนตร์ของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งถูกปฎิเสธจากหญิงสาวที่เขารัก และต่อมาตัวเขาก็ได้ปฏิเสธความรักกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งและสูญเสียโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เขาได้เริ่มต้นปฎิเสธทุกโอกาสที่เข้ามาใหม่ในชีวิตที่จะแสวงหาความรักโดยไม่รู้ตัว และด้วยหลากหลายเหตุผล มันอาจจะฟังดูซ้ำซากแต่ถ้าเราได้ดูหนังเรื่อง 2046 แท้ที่ริงแล้วความรักนั้นเกี่ยวเนื่องกับเวลา”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับหว่อง ได้ใช้จินตนาการที่มีสีสรรบวกเข้ากับการตัดภาพช็อต CGI ที่ล้ำสมัยเพื่อหยุดความจำกัดของช่องว่างและเงื่อนเวลาและเพื่อจะสร้างความรู้สึกกึ่งฝัน ผสมผสานเข้ากับความโรแมนติคของโลกในอดีตและโลกแห่งอนาคต เป็นเวลาเกือบห้าปีที่เข้าได้ใช้เวลาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในหลายโลเคชั่น ทั้งในประเทศไทย จีน มาเก๊าและฮ่องกง โดยมีผู้ร่วมลงทุนมาจากประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี การถ่ายทำแบบ CGI ที่ใช้ในภาพยตร์เรื่องนี้ได้รับการสร้างสรรด้วยความชำนาญจากบริษัทฝรั่งเศสชื่อ BUF ซึ่งได้ทำงานเคียงข้างกับผู้กำกับหว่อง BUF เป็นบริษัทที่ทำ CGI ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Matrix 2 และ 3 และภาพยนตร์เรื่อง Alexander The Great และเรื่อง The Fight Club และนี้เป็นครั้งแรกที่ทางบริษัทได้ร่วมงานกับภาพยนตร์จากเอเชีย เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคผู้เชี่ยวชาญกว่าร้อยคนจาก BUF ได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรผลงานที่ทำให้กับภาพยนตร์เรื่อง 2046นี้
2046 - นักแสดง
สำหรับภาพยนตร์ของเขานั้น หว่อง กา ไว ได้รวบรวมนักแสดงมือหนึ่งของเอเชีย เป็นผลงานการแสดงร่วมกันเรื่องแรกในงานภาพยนตร์ของดาราชั้นนำ โทนี่ เหลียง เฉา เหว่ย, กงลี่, ทากูย่า คิมูระ, เฟย์ หว่อง, จาง ซี่ยี่, คาริน่า เลา, ชาง เฉิน, และ แม๊กกี้ จา
โทนี่ เหลียง เฉา เหว่ย
เป็นผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศดาราผู้แสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมือง คานส์ ปี 2000 สำหรับบทบาทที่เขาแสดงเป็น เชา โม หวันจากภายนตร์เรื่อง In The Mood for Love โทนี่ เหลี่ยง ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นดาราฝ่ายชายที่ได้รับความนิยมในวงการภาพยนตร์ของฮ่องกง เขาได้รับรางวัลชนะเลิศจากฮ่องกงและในภูมิภาคมาจนนับไม่ถ้วนสำหรับการแสดงของเขาและรางวัลล่าสุดได้รับเป็นรางวัลผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยมจากกรุงไทเปคือ รางวัล Taipei Golden Horse Award สำหรับบทบาทที่เขารับเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบโดยแสดงกับ แอนดรูว์ เลา จากภาพยนตร์ตื่นเต้นของ อลัน มักเรื่อง Internal Affairs ซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องที่เขาแสดงได้รับรางวัลจากต่างประเทศมากมาย: ภาพยนตร์ของ สแตนลี่ย์ กวาน เรื่อง Love Unto Waste ภาพยนตร์ของ เฮา เฉียว เสียนเรื่อง A City of Sadness และเรื่อง Flowers of Shanghai ภาพยนตร์ของจอห์น วู เรื่อง Hard Boiled ภาพยนตร์ของ ทราน อาห์ ฮัง เรื่อง Cyclo และและภาพยนตร์ของ เจฟฟ์ เลาเรื่อง Chinese Odyssey 2002 ผลงานเรื่องแรกที่เขาได้ร่วมงานกับ หว่อง กา ไว คือเรื่อง Days of Being Wild และจากที่ได้ร่วมงานภาพยนตร์กันนั้นทำให้เขามีผลงานร่วมกันอีกห้าเรื่อง คือเรื่อง Ashes of Time, Chungking Express, Happy Together, In the Mood for Love และเรื่องปัจจุบัน คือเรื่อง 2046
กง ลี่
กง ลี่ นั้นพุ่งขึ้นสู่การเป็นดาราภาพยนตร์ระดับชาติจากบทบาทของเธอในภาพยนตร์ของ จาง อี้โหมว เรื่อง Red Sorghum (Golden Bear, Berlin Film Festival) และในปัจจุบันนี้ได้รับการยอมรับอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเธอเป็นดาราหญิงชาวจีนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลก ความสวยงามของเธอ ได้รับการเปรียบเทียบกับ กริต้า การ์โบเลยทีเดียว ผลงานที่เธอร่วมกับ จาง ซิโหมวยังได้มีการต่อเนื่องเป็นภาพยนตร์ซีรี่ส์ยอดนิยม (ภาพยนตร์เรื่อง Judou เรื่อง Raise the Red Lantern เรื่องThe Story of Qiuju เรื่อง Shanghai Triad) ก่อนที่เธอจะได้ร่วมงานกับผู้กำกับการแสดงอื่น ๆ อาทิ ร่วมงานกับ เชง ไคจี จากเรื่อง Farewell My Concubine เรื่อง Temptress Moon และเรื่อง The Emperor and the Assassin และผลงานกับ เวนห์ หวัง จากเรื่อง Chinese Box และกับ ซัน ซู จากเรื่อง Zhou Yu’s Train ผลงานเรื่องล่าสุดของเธอกับ หว่อง กา ไว จากมหากาพย์ เรื่อง Eros โดย และต่อเนื่องกับผลงานของ ไมเคิล เองเจิ้ลโล แอนโตนิโอนิและ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก
เฟย์ หว่อง
เฟย์ หว่องได้เริ่มต้นอาชีพทางการร้องเพลงในช่วงต้นของปี 1990 และได้รับรางวัลจากหลายซิงเกิ้ลและอัมบั้มฮิตของเธอทำให้เธอได้รับการกล่าวขัญว่าเป็น The Asian Diva เธอเริ่มต้นอาชีพทางการแสดงให้กับหว่อง กา ไว จากภาพยนตร์เรื่อง Chungkin Express ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ชมจากทุกสารทิศ เธอยังได้รับรางวัล นักแสดงหญิงยอดเยี่มจากประเทศ สวีเดน และเมื่อไม่นานมานี้ เธอยังได้ร่วมแสดงในคอมเมดี้เรื่อง Chinese Odyssey 2002 ซึ่งสร้างโดย หว่อง กา ไว ภาพยนตร์เรื่อง 2046 จึงเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามที่เธอได้ร่วมงานกับหว่องและอาจจะเป็นการสร้างช่วงเวลาใหม่ให้กับอาชีพทางการแสดงของเธอ
ทาคุย่า คิมุระ
เขาได้รับรางวัลที่สำคัญหลากหลายรางวัลจากประเทศ ญี่ปุ่น ทาคุย่า คิมุระเป็นหนึ่งในดารายอดนิยม ทั้งชื่อเสียงและเกียรติยศ ผลงานการแสดงของเขา ในภาพยนตร์เรื่อง 2046 นั้นเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ดึงเขาเข้ามาสู่ตลาดภาพยนตร์ข้ามชาติ ทำให้เกิดความตื่นเต้นและความหวัง
เขาเกิดในกรุงโตเกียว ตั้งแต่เขาเริ่มเขาสู่วงการในปี 1991 ได้รับความนิยมว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของ SMAP ซึ่งเพลงได้รับความนิยมอาทิ Sekai De Hitotsu Dakeno Hana ซึ่งขายได้ถึงหนึ่งล้านแผ่นเมื่อปีที่แล้ว ยังร่วมไปถึง เพลง Aoi Inazuma และเพลง Yozora no Mukouni และเพลง Lion Heart ทำให้เขาได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงและในฐานะดาราภาพยนตร์ คิมูระได้ร่วมแสดงในละครยอดนิยมอีกหลายเรื่อง อย่างเช่นเรื่อง Long Vacation เรื่อง Beautiful Life เรื่อง HERO เรื่อง Sora Kara Furu Ichioku no Hoshi เรื่อง Good Luck โดยแต่ละเรื่องทำลายสถิติมากกว่าที่เขาเคยได้รับขึ้นอีกถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ได้รับความนิยมและเรทติ้งสูงสุด เขายังได้แสดงอีกหลายบทบาทอาทิ บทชู้รัก นักมนุษยวิทยาที่ไร้เดียงสา ชายหนุ่มอารมณ์ร้อน และบทบาทของ ซามูไร และเขาก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองในทุกบทบาทที่เขาได้รับอีกด้วย อาชีพทางภาพยนตร์โทรทัศน์ของเขาสู่ภาพยนตร์โฆษณาทางทีวีและรายการโทรทัศน์ตลกมาจนถึงงานทางวิทยุและงานเขียนทางนิตยสาร ทำให้เป็นหนังสือที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งทำให้เขาขยายผลงานไปอีกหลากหลายด้าน คิมูระ ได้รับการเลือกให้เป็น “The Most Loved Man” เป็นเวลาถึง 11 ปี ติดต่อกันจากผลการสำรวจของนิตยสารของผู้หญิงและยังได้รับการยอมรับว่า เป็นชายหนุ่มที่ดูดีที่สุดในชุดยีนส์ของญี่ปุ่นเป็นเวลาถึง 5 ปี ติดต่อกัน
คิมูระจะให้เสียงพากษ์เป็นตัวนำในการ์ตูน เรื่อง Moving Castle of Haure
จาง ซี่ยี่
จาง ซี่ยี่เริ่มจากจบการเรียนจากสถาบัน Beijin Drama Academy โดยแสดงให้กับ จาง อี้โหมวเรื่อง The Road Home (Jury’s Silver Bear, Berlin Film Festival) และยังมีผลงานมีผลงานสร้างชื่อต่อมาในบทบาทของจอมยุทธสาวในภาพยตร์ยอดนิยมข้ามชาติของ อั้ง ลี่เรื่อง Couching Tiger, Hidden Dragon เธอยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ จาง ซิโหมวร่วมกับ เจ๊ท ลี โทนี่ เหลียง และ แม๊กกี้ ชุน และยังได้ร่วมแสดงรับเชิญให้กับภาพยนตร์ฮ่องกงอีกหลายเรื่อง เธอได้รับการขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน 50 สตรีที่สวยงามที่สุดแห่งปี 2002 และอีกไม่นานนี้เราจะได้เห็นเธอในนิตยสาร Vogue ของอเมริกา ว่าเป็นหนึ่งในหญิงสาวผู้ทรงอิทธิพลในประเทศจีน
คาริน่า เลา คา หลิง
เธอศึกษาจากผลงานซีรี่ส์ดราม่าทางโทรทัศน์ คาริน่า เลา ได้ทำให้ตัวเธอกลายเป็นหนึ่งในดาราสาวที่น่าทึ่งของฮ่องกง ผลงานการแสดงของเธอในภาพยนตร์ของ หว่อง กา ไว จากเรื่อง Days of Being Wild แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถที่หยั่งลึกของเธอและทำให้เธอได้รับรางวัลดาราหญิงยอดเยี่ยมจาก เทศกาล Festival des 3 Continents ใน นองเต้ ประเทศฝรั่งเศส เธอยังได้รับความนิยมอีกจากภาพยนตร์ของ หว่อง กา ไวจากเรื่อง Ashes of Time เธอยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของจีนและเมื่อไม่นานมานี้ยังได้การเสนอชื่อเข้ารับรางวัลดาราหญิงยอดเยี่ยมจาก Hong Kong Film Award สำหรับบทบาทของเธอจากภาพยนตร์ตื่นเต้นของ แอนดรูว์ เลาและ อลัน มัก เรื่อง Infernal Affairs 2
จาง เชน
จางเชนฉายแววเป็นนักแสดงในวงการบันเทิงเมื่ออายุได้เพียง 14 ปีจากภาพยนตร์ของ เอ็ดเวิร์ด หยางเรื่อง A Brighter Summer Day และยังได้รับความนิยมอีกจากภาพยนตร์อีกเรื่องของเอ็กเวิร์ด หยางคือเรื่อง Mahjong และของ หว่อง กา ไว เรื่อง Happy Together ของ ลิน เช็ง เช็น เรื่อง Betelnut Beauty และของ อั๊ง ลี่ จากเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon และเมื่อไม่นานมานี้เขาได้ร่วมแสดงกับ เฟย์ หว่อง ในภาพยนตร์ของ เจฟฟ์ เลาเรื่อง Chinese Odyssey 2000 และยังได้ร่วมแสดงกับ กง ลี่ในภาพยนตร์มหากาพย์ที่จะเข้าฉายของ หว่อง กา ไวเรื่อง Eros อีกด้วย
แม๊กกี้ ชุง จาง ม่าน อี้
อาชีพทางการแสดงของแม๊กกี้ ชุงนั้นต้องฝ่าฟันแต่ก็ค่อย ๆ ฉายให้เห็นแววของเธอในบทบาทที่แตกต่างกัน เธอได้รับบทเป็นสาวที่มีความสามารถในภาพยนตร์ของ แจ๊คกี้ ชานเรื่อง Police Story และยังได้ร่วมแบ่งปันชื่อเสียงของเธอจากบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เรื่องแรก ของ หว่อง กา ไว คือเรื่อง As Tears Go By นับจากนั้นเป็นต้นมาบทบาทที่เป็นที่จดจำของเธอในภาพยนตร์ของ หว่อง กา ไว อาทิเรื่อง Days of Being Wild และเรื่อง Ashes of Time ภาพยนตร์ของ คลาเร้นซ์ ฟุก เรื่อง The Iceman Cometh ภาพยนตร์ของ จอห์นนี่ โต๊ะ เรื่อง The Heroic Trio และภาพยนตร์ของ แอน ฮุยเรื่อง Song of the Exile เธอเป็นนักแสดงหญิงชาวจีนคนแรกที่ชนะเลิศและได้รับรางวัล Best Actress Silver Bear - Berlin Film Festival จากภาพยนตร์ของ สแตนลี่ย์ กวานเรื่อง Centre Stage ซึ่งเธอรับบทเป็นนักร้องที่เป็นตำนาน รูอัน ลิงหยู เธอได้แสดงคู่กับ โทนี่ เหลียงในภาพยตร์ของ หว่อง กา ไว เรื่อง In the Mood for Love และ ภาพยนตร์ของจาง อี้โหมว เรื่อง Hero ผลงานที่ไม่ใช่ภาพยนตร์จีนเรื่องแรกของเธอคือผลงานของ โอลิเวีย อาซาเยสเรื่อง Irma Vep และเธอยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับชาวฝรั่งเศสในปีนี้คือภาพยนตร์เรื่อง Clean
ดอง จี
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ