กรุงเทพฯ--8 เม.ย.--แฟรนคอม เอเชีย
เวลาออกอากาศทางช่อง ยูบีซี 42
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน เวลา 17.00 น.
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน เวลา 11.00 น. (ฉายซ้ำ)
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน เวลา 17.00 น. (ฉายซ้ำ)
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน เวลา 11.00 น. (ฉายซ้ำ)
โซเรียส ซามูระ (Sorious Samura) สื่อมวลชนเจ้าของรางวัลมากมาย ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตอันลำเข็ญของผู้ลี้ภัย ในสารคดีชุดล่าสุดที่เขาลงทุนไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้ลี้ภัยเหล่านั้นเพื่อจะได้นำเรื่องราวมาถ่ายทอดแก่สายตาของสาธารณชนใน “LIVING WITH REFUGEES”
ซามูระออกเดินทางสู่ชาด (ประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา) เพื่อถ่ายทำสารคดีชุดนี้ โดยซามูระได้ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวผู้ลี้ภัยเป็นเวลาหนึ่งเดินเต็มภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์เดียวกันกับผู้ลี้ภัย ซามูระได้สร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเหล่าผู้ลี้ภัย รวมถึงการแบ่งปันความความหวัง ความกลัว โดยถ่ายทอดชีวิตความเป็นจริงของผู้คนผ่านมุมมองที่พิเศษนี้
อดัมเป็นหนึ่งในตัวอย่างของกลุ่มผู้ลี้ภัย เขาพร้อมด้วยภรรยา 2 คน และลูกๆ อีก 8 คนสิ้นเนื้อประดาตัว เพื่อนๆของเค้าถูกฆ่าในช่วงความขัดแย้งที่ Darfur ตัวซามูระเองได้พบกับอดัมที่บริเวณชายแดนของชาดและซูดาน เขาออกเดินทางสู่ศูนย์ผู้ลี้ภัยของยูเอ็นซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของชาด ทั้งๆที่ตัวเขาเองยังไม่รู้แน่ชัดว่าศูนย์ดังกล่าวตั้งอยู่ไกลเพียงใด อดัมตกลงใจให้ซามูระติดตามเขาและครอบครัวเพื่อออกเดินทางไปยังศูนย์ลี้ภัยนี้ได้ “คุณเดินทางมาไกลถึงขนาดนี้เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเราออกไปสู่โลก คุณนับได้ว่าเป็นพี่น้องเรา”
ซามูระรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อถอยอย่างรวดเร็วหลังจากติดตามกลุ่มผู้ลี้ภัย พวกเขาเอาชีวิตรอดด้วยการขุดลึกลงไปในแม่น้ำที่แห้งผากเพื่อหาน้ำดื่มและทานอาหารวันละครั้งเท่านั้น เมื่อซามูระคุยกับอดัมเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Darfur อดัมก็ระเบิดอารมณ์ออกมาว่า “โปรดอย่าให้เราต้องจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกเลย มันมากเกินไปสำหรับเรา”
หลังจากการเดินทางอันยาวนานถึง 3 วันเต็ม ครอบครัวของอดัมก็ได้เดินทางมาถึงที่ค่าย ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขาต้องดูแลตัวเอง ไม่มีอาหาร หรือที่พัก แต่สิ่งหนึ่งที่ซามูระได้เรียนรู้ว่าในโลกแห่งความเหลี่อมล้ำและสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ ยังมีผู้คนที่มีน้ำใจหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่กันและกันในกลุ่มของผู้ลี้ภัยด้วยกันเอง
หลังจากนั้นสารคดีชุดนี้ยังได้ติดตามครอบครัวของอดัมในขณะที่พวกเขาพยายามช่วยกันสร้างสิ่งที่เรียกว่าบ้านขึ้นมา ฟาติมา ภรรยาคนหนึ่งของอดัม เธอเป็นผู้หญิงที่แกร่งและเป็นคนที่ดึงให้คนในครอบครัวอยู่ร่วมกัน พวกเขาต้องนอนขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนน้อย สำหรับอดัมแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งซักเพียงไหน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ยากจนเขาเกือนจะทนไม่ได้ “พวกเขาไม่ให้มีการแสดงความนับถือหรือเคารพพวกเราในแผ่นดินที่เป็นของพวกเราแม้แต่น้อยพวกเค้าปฏิบัติกันเราเยี่ยงสัตว์”
สำหรับตัวซามูระเอง การใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยนี้มีผลกระทบต่อเขาอย่างมาก “ผมเกลียดคำว่าผู้ลี้ภัยมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก คำคำนี้ปล้นเอาศักดิ์ศรี สถานภาพ และความนับถือต่อทุกๆสิ่งไปจากพวกเขา”
จากสิ่งที่ถ่ายทอดผ่านชีวิตของครอบครัวของอดัม ทำให้เราพบว่า หน่วยงาน Bureaucracy of the aid business ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควรจะดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยก็ได้ทอดทิ้งกลุ่มคนเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ (The United Nations High Commissioner for Refugees) หรือ UNHCR ได้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงกับซามูระว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ขึ้นในชาดเป็นเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก และเมื่อสารคดีของซามูระได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดอย่างใกล้ชิด สิ่งหนึ่งที่สารคดีชุดนี้ได้พยายามบอกก็คือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นตัวบ่งชี้แก่พวกเราทุกคนว่า “พวกเรายังพยายามไม่มากพอ”
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--