กรุงเทพฯ--5 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “ปั้น” เป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นคนที่ทำงานแบบมีแผนการในการดำเนินชีวิต เป็นคนมีระเบียบวินัย เอาจริงเอาจังในการทำงาน ผมให้ฉายาของปั้นว่าเป็น “มิสเตอร์เป๊ะแมน” คือการทำงานในทุกๆ วัน จะเป็นเหมือนกับกิจวัตรที่ทำเหมือนกันทุกๆ วัน จะดูคล้ายๆ เป็นหุ่นยนต์ ตื่นนอนตอนเช้าออกกำลังกาย เปิดทีวีดูหุ้น เก็บของ อาบน้ำ ข้าวของทุกอย่างที่อยู่ในบ้านจะเรียงแบบมีระเบียบหมดเลย ขับรถไปทำงาน เข้างาน 9 โมง เลิก 5 โมงเย็น ปั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับการทำงาน แล้วต้องพาองค์กรไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ เพราะฉะนั้นปั้นเค้าก็จะมีความตึงด้วยตัวเค้าเอง มุ่งมั่นวางแผนเพื่ออนาคตทั้งวันนี้และวันข้างหน้า วันนี้ทำอะไร พรุ่งนี้ทำอะไรบ้าง เดือนหน้าเป็นแบบไหน เสาร์อาทิตย์นี้จะไปเที่ยวไหน ปีหน้าทำอะไร คือเค้าเป็นคนแบบนี้ตลอด ต้องพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางแผนเอาไว้ โดยที่บางครั้งทำงานจนลืมว่า ช่วงเวลามันผ่านไปขนาดไหน
ในเรื่องก็จะดำเนินไปจนกระทั่งอยู่ๆ ก็ต้องมาเจอกับ “หวาย” นางเอกของเรื่อง ผมมองว่าสำหรับในเรื่องนี้ ด้วยความที่ปั้นเป็นคนที่ตึงเกินไป ส่วนหวายเป็นคนที่หย่อนมากเกินไป แน่นอนครับในการที่เรามาเจอกัน มันรู้สึกว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิงด้วยตัวละครของมัน หวายก็เป็นเด็กฝาก ไม่ได้ถนัดในเรื่องงานออฟฟิศอยู่แล้ว ตัวเองก็ชอบที่จะทำงานอิสระ ซึ่งไม่ตรงตามที่เค้าต้องการและไม่ตรงตามสายงานของเค้าเลย ซึ่งปั้นต้องการคนที่มาทำงานให้เค้าแบบมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ว่าหวายไม่ใช่ แต่ว่าบางครั้งเส้นในการดำเนินเรื่อง มันจะบอกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ในการผสมผสานในตัวละครมันทำให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ปั้นก็ได้เรียนรู้จากหวายว่าความเป็นจริงแล้วในการทำงานต่างๆ คุณไม่จำเป็นต้องตึงมากขนาดนี้ก็ได้ คุณจะรีแล็กซ์บ้างก็ได้ คุณมีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้างก็ได้ แต่ว่าคุณอย่าตึงมากไป และควรเดินทางสายกลาง เช่นเดียวกับปั้น ซึ่งกำลังจะบอกหวายว่า ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบนี้ โดยไม่มีแบบแผนในชีวิต ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ในชีวิตบ้าง มีการวางแผนไว้บ้างว่าคุณอยากจะทำอะไรในชีวิตประจำวันของเราและก็ในอนาคตอยากจะเป็นแบบไหน ซึ่งเป็นการสอนซึ่งกันและกัน ให้ทั้ง 2 คนปรับเข้าหากัน ผมว่ามันเป็นสองขั้วที่มาผสมผสานกันแล้วทำให้เกิดความสนุกในเรื่องนี้
เป็นอีกคาแร็คเตอร์นี้ที่ไม่เคยแสดงมาก่อน
จะว่าไปแล้วก็ไม่เคยรับบทแบบนี้เลยนะครับ แตกต่างโดยสิ้นเชิง มันเป็นความแปลกใหม่สำหรับผม เราไม่เคยมองเห็นภาพว่า เราจะไปทำงานอยู่ในออฟฟิศได้แบบไหน ถ้าเกิดเราไม่ได้เล่นหนังเรื่องนี้
คือในเรื่องนี้เราก็มองว่าแตกต่างจากเรื่องอื่นอยู่แล้ว และในเรื่องนี้มันมีความพิเศษอยู่ว่า เราได้มาเป็นคนๆ หนึ่งที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศจริงๆ แต่งตัวเหมือนคนทำงานออฟฟิศ ใช้ภาษาเหมือนคนทำงานออฟฟิศแบบเนี่ยครับ ในเรื่องที่ผ่านๆ มาไม่ได้สัมผัสตรงนี้
ความยากง่ายในการแสดงบทนี้
ถ้าผมมาพูด ณ วันนี้ ผมจะบอกว่าไม่ยาก แต่ถ้าย้อนกลับไปช่วงเริ่มแรกที่เราเล่น มันค่อนข้างจะยากมากสำหรับผม ผมนึกไม่ออกครับว่าคนทำงานออฟฟิศเป็นยังไง รู้แต่ว่าทำงานเช้าเลิกเย็น มีโอทีด้วย แต่ในทุกๆ วันต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่เราจะต้องเห็นทุกๆ วัน ซ้ำซากจำเจ อยู่ในคอกห้องแอร์ นั่งโต๊ะทำงาน เป็นอย่างนี้ทุกๆ วัน เรารู้สึกว่า มันยากสำหรับเราที่จะทำความเข้าใจกับมัน แต่เนื่องจากว่าเราจะต้องเรียนรู้จากบทให้ได้เยอะๆ คุยกับผู้กำกับให้ได้มากที่สุด และพยายามสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา เพื่อนเรา หรือช่วงที่เราเดินทางอยู่ในเมือง และสังเกตว่าคนที่ทำงานในออฟฟิศ เค้ามีชีวิตประจำวันแบบไหน วิธีการพูด พูดยังไง เพราะว่ามันมีศัพท์ต่างๆ แต่ละองค์กรที่เค้าใช้ หรือว่าในการทำงานเวลาที่ลำดับขั้นตอนของลำดับขั้นในองค์กรต่างๆ ก็มาทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ ผมว่ามันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของเราที่มีโอกาสได้มาสัมผัส ซึ่ง ณ ตอนนั้นยาก แต่ตอนนี้แล้ว มันได้มีโอกาสได้เรียนรู้มาเยอะพอสมควร ก็เริ่มดีขึ้นครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่า “ยอดมนุษย์เงินเดือน” ก็คือคนที่มีชีวิตทุกๆ วันแบบคนทำงานเงินเดือน คือในความเข้าใจของผม คือคนที่ทำงาน 9 โมงเช้าเลิก 5 โมงเย็น ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทุกๆ คนมีความสุขในเย็นวันศุกร์ และมีความทุกข์ทุกครั้งในเย็นวันอาทิตย์ ภายในองค์กรของคนที่มนุษย์เงินเดือนมันก็จะมีหลายรูปแบบ เจ้านายที่เอาแต่ใจตัวเอง หัวหน้าที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งลูกน้องที่ไม่เคยไปดูว่างานตัวเองเป็นแบบไหนหรือว่าต้องการงานแค่ให้ผ่านเท่านั้นเอง คนที่เป็นเลขาคอยรับใช้เจ้านายตั้งแต่เรื่องงานจนถึงเรื่องส่วนตัวโดยที่ตัวเองไม่มีวันหยุดอะไรแบบนี้ คนที่จับกลุ่มเมาท์คอยนินทาเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย หรือแม่บ้านที่มักจะชอบเอาของใช้บางอย่างในออฟฟิศไปใช้ที่บ้านบ้าง เอาการบ้านลูกมาถ่ายเอกสารที่ออฟฟิศ คนที่ทำงานแบบไม่สนใจคนอื่น ตึงจนเกินไป คนที่รักองค์กรมากที่จะคอยช่วยองค์กรในการประหยัดน้ำประหยัดไฟประหยัดพลังงานทุกๆ อย่าง เพื่อจะได้รับรางวัล เอารางวัลเป็นที่ตั้ง แต่สุดท้ายทุกคนพอถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเดือน และก็พยายามทำงานให้ดีที่สุด ให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือตามนโยบายของบริษัท เพื่อสิ้นปีจะได้โบนัส
ซึ่งเรื่องนี้จุดหักเหมันอยู่ที่ว่า มันเกิดเหตุการณ์ที่จะต้องทำโปรเจ็คต์หนึ่งที่คิดว่าไม่น่าจะเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด ก็คือมีเวลาจำกัดแค่ช่วงปลายปี ทุกๆ คนก็ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกัน โดยมีปั้นเป็นหัวหน้าที่จะคอยพาทีมพาลูกน้องทุกคน ก้าวไปให้สู่ประสบความสำเร็จของพวกเรา และสิ่งที่สำคัญก็คือ “โบนัส” คือทุกอย่างทำเพื่อแบบนี้ มันก็จะเกิดเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ทั้งๆ ที่จะไปได้หรือเปล่า คนหนึ่งมีปัญหา คนนั้นก็มีปัญหา ปั้นก็จะเป็นคนที่จะทำให้ทุกๆ คนมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งถามว่าปั้นรักทุกคนมั้ย ปั้นอาจจะไมได้รักทุกคนหรอก แต่ปั้นต้องการที่จะทำให้งานสำเร็จ ปั้นต้องการที่จะทำให้ทุกๆ คน สามารถที่จะทำงานให้ปั้นได้ ก็เพื่อโบนัสปลายปี เพื่อที่จะให้เจ้านายเห็นผลงานของเรา
ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละตัวที่มีอยู่จริงในทุกๆ ออฟฟิศที่ต่างก็มีความต้องการ ความหวัง ความฝันที่แตกต่างกันไป และจะทำให้คิดต่อไปได้ว่าพวกมนุษย์เงินเดือนนั้นมี “เงิน” เป็นเหตุผลเดียวจริงๆ หรือที่ทำให้พวกเขายังมาทำงานกัน คือผมมองว่า มันเป็นเรียลิสติกที่เกิดขึ้นจริงๆ ในการทำงานในสังคมของบ้านเรานะครับ ในตัวละครต่างๆ มันก็มีตัวตนจริงๆ นี่คือตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเรียลิสติก คนที่ทำงานออฟฟิศจะเข้าใจดีเลย
การร่วมงานกับนางเอกใหม่
ต้องย้อนกลับไปถึงผู้กำกับฯ เค้าคัดเลือกนักแสดงได้เหมาะสมกับคาแร็คเตอร์ในเรื่องมาก ด้วยแบ็คกราวด์ของน้องโบ (ณัฐชลัยย์ สุขะมงคล) เค้าก็เหมือนทำงานอยู่ในแวดวงนี้ เพราะด้วยสายงานของเค้าคือครีเอทีฟ อยู่ในบริษัทเอเจนซี่ ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนกัน และน่าจะมองเห็นภาพของมนุษย์เงินเดือน ในขณะเดียวกันน่าจะได้เห็นภาพของทางด้านการแสดงหรือวงการบันเทิง เพราะฉะนั้นการที่น้องเค้าเข้ามาและได้มาปรับการเรียนรู้เรียนการแสดงกับคุณครู และการเข้าแสดงกับผม สำหรับคนอื่นอาจมองว่าเป็นนางเอกใหม่ แต่สำหรับผมมองว่าในเรื่องของการแสดงน้องเขาทำได้ดีทีเดียว แล้วก็ไม่เชื่อเลยว่าเป็นเรื่องแรกของเค้า แต่จริงๆ ก็เป็นเรื่องแรกนะ ถือว่าในการเตรียมตัว แคสติ้ง ความพร้อมของเค้า ความใส่ใจ ตั้งใจของเค้าเนี่ย มันเต็มร้อยอยู่แล้ว มาบวกกับคาแร็คเตอร์กวนๆ และเรื่องราวป่วนๆ ในเรื่องนี้แล้ว มันส่งผลให้เวลาเค้าเล่นแล้วมันน่ารัก และสามารถไปได้ดีด้วยซ้ำไป
การร่วมงานกับผู้กำกับ
เราได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกันมาก่อนในซิตคอมเรื่อง “รักริทึ่ม” ซึ่งเราเองก็รู้สึกว่าได้กลับมาทำงานกับคนที่เรารู้จักกันมาก่อน ทีมงานส่วนใหญ่ก็รู้จักกันอยู่แล้ว ก็เป็นสิ่งที่มันง่ายขึ้น ผมว่าโจ้ (วิรัตน์ เฮงคงดี) ผู้กำกับเค้าก็เป็นคนที่มองอะไรในแบบบวกๆ คิดอะไรที่แบบเนียนๆ โอเคล่ะ ถึงเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกของเค้า ผมก็ดีใจที่ได้เห็นผกก. หน้าใหม่ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เราถือว่าพอมาทำงาน อะไรที่เป็นสิ่งใหม่ๆ เราทุกคนก็ใหม่เท่ากันหมด ก็ดีครับ ได้โจ้มาทำงาน เพราะว่าเราเคยได้ทำงานร่วมกัน และรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยครับ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนน่าจะนำพาหนังเรื่องนี้ไปได้ และสามารถทำให้คนดูประทับใจได้ไม่มากก็น้อยครับ
บรรยากาศในการถ่ายทำเรื่องนี้
สนุกดีนะครับสำหรับการถ่ายทำและทีมนักแสดงเรื่องนี้ ผมว่าบรรยากาศดีมากเลย ทุกคนตลก มีไม่ตลกอยู่ก็ตรงที่ผมอยู่ในฉากนี่แหละ ปั้นไม่รู้จะเครียดไปไหน บางครั้งผมเองเห็นบทของคนอื่นๆ ผมยังรู้สึกว่า อยากเล่นบทนั้นจังเลย อยากเล่นบทนี้จังเลย เราอยากจะเล่นตลกๆ บ้าง แต่ในเมื่อถูกวางตัวแบบนี้มาแล้ว ต้องเป็นคนคุมองค์กร ต้องยอมรับกับมัน แต่จริงๆ แล้วบรรยากาศสนุกครับ เรื่องนี้นักแสดงผู้หญิงเยอะ และจะเห็นเลยว่าผู้หญิงเป็นเพศที่มีกระเพาะอาหารใหญ่กว่าเพศชาย กินทั้งวัน ผมยังแปลกใจและถามอยู่ตลอดเวลา เมื่อกี๊เห็นกินแล้วนี่กินอีกแล้วเหรอ เค้าบอกกินได้เรื่อยๆ กินได้ทั้งวัน ผมก็บอกกินได้เยอะๆ แต่ยังหุ่นดีอยู่นะครับ กินไปเมาท์ไปเป็นสาวออฟฟิศตัวจริงเลย (หัวเราะ)
โลเกชั่นการถ่ายทำ
สำหรับโลเกชั่นเรื่องนี้ก็สมชื่อมนุษย์เงินเดือนครับ ส่วนใหญ่จะเซ็ตฉากถ่ายทำกันในออฟฟิศเป็นหลัก เพราะเรื่องส่วนใหญ่มันเกิดในออฟฟิศ ถ่ายกันตามสถานที่จริงๆ เป็นตึกกดลิฟท์ขึ้นไปทำงานเป็นออฟฟิศเปิดแอร์เย็นๆ มีเป็นคอกๆ มีโต๊ะทำงานของแต่ละคน ทุกๆ อย่างมันอาจจะตื่นตาตื่นใจสำหรับผม เพราะผมไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ ไม่เคยนั่งทำงานแบบนี้มาก่อน ผมก็เลยอาจจะเข้าใจว่า คนที่เริ่มได้มีโอกาสมาทำงานออฟฟิศ เค้าน่าจะแฮปปี้กับการนั่งทำงานออฟฟิศนะ เพราะเจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีบรรยากาศทำงานดีๆ อยู่บนตึกสูงๆ มองลงมาก็เห็นวิวเมือ ตึกต่างๆ เพื่อนบ้านเต็มไปหมด วิวสุดแม่น้ำเจ้าพระยา ผมว่าแรกๆ คนอาจจะรู้สึกแบบนี้ ตื่นตาตื่นใจ และทุกๆ วันก็จะเป็นการทำงานที่ดูแตกต่างจากการที่เราอยู่ที่บ้าน แล้วก็จะมีการกระจายไปถ่ายตามที่ต่างๆ ด้วยตามแบ็คกราวด์คาแร็คเตอร์แต่ละตัวเพื่อให้เห็นปูมหลังชัดๆ
นอกจากนี้ฉากใหญ่ๆ นอกสถานที่ก็จะไปถ่ายที่เขาใหญ่ บริเวณแถวๆ พื้นที่ของเขาใหญ่ เพราะในเรื่องถึงคราวที่ปั้นจะต้องลุยเอง เราจะต้องไปหาวัตถุดิบที่เราจะต้องผลิต การไปดูสถานที่จริงเป็นบรรยากาศที่นอกเหนือจากบรรยากาศที่เราเห็นในออฟฟิศแล้ว เราจะได้เห็นบรรยากาศของธรรมชาติด้วย
ถ้าเป็นชีวิตของปั้นมันก็เหมือนกับได้เปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง มันเหมือนได้รีแล็กซ์กันมากขึ้น คือได้ไปปลดปล่อย คือด้วยตัวของปั้นเองไม่เคยได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติต่างจังหวัดเลยด้วยซ้ำ คืออยู่กับการทำงาน รถติด รถไฟฟ้า ขับรถไปทำงานออฟฟิศ ขึ้นลิฟต์ เข้าห้อง การได้ไปเขาใหญ่เนี่ย มันได้เปลี่ยนโลกทัศน์ไปอีกแบบหนึ่ง มันได้เปลี่ยนชีวิต ได้เห็นถึงคนบางคน อย่างนางเอกรูปลักษณ์ต่างๆ ที่เค้าได้ไปอยู่ในที่ๆ เหมาะสมกับเค้า มันทำให้เราได้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น และส่วนตัวในชีวิตจริงผมเองการได้ไปถ่ายทำที่เขาใหญ่ ผมชอบอยู่แล้ว ได้ไปเห็นภูเขา ต้นไม้ ของโปรดเลยครับ
ความน่าสนใจและเสน่ห์โดยรวมของเรื่องนี้
ผมว่าหนังเรื่องนี้มีมุมมองอะไรใหม่ๆ คนที่ทำงานออฟฟิศเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้วจะยิ้มๆ และจะหันมามองตัวเอง และเพื่อนรอบๆ ตัว เพราะว่ามันจะมีส่วนคล้ายส่วนเหมือนในองค์กรของตัวเองอยู่แล้ว ในทางกลับกัน พวกที่ไม่ได้ทำงานในออฟฟิศก็จะเข้าใจคนที่ทำงานในออฟฟิศมากขึ้น แล้วในหนังเรื่องนี้ มันมีหลากหลายอารมณ์ ทั้งคอเมดี้ ดราม่า รวมทั้งบรรยากาศดีๆ โรแมนติกบ้าง
และผมเชื่อว่าใครหลายๆ คนที่คิดว่าองค์กรอื่นหรือบริษัทอื่นดูน่าอยู่กว่าบริษัทของตัวเอง ไอ้คนอื่นก็จะมองว่าของเราน่าอยู่กว่าบริษัทเค้า เช่นเดียวกันกับที่ว่าสนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่นสวยกว่าสนามหญ้าหน้าบ้านเรา ทุกๆ คนจะเห็นแบบนี้หมด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเรามองให้ลึกกว่าเดิม ไม่แน่ครับว่าในบ้านของเราหรือในองค์กรของเราเองอาจจะน่าอยู่กว่าของใครไหนๆ ก็ได้ และเราก็จะได้รับความสนุกสนานจากหลากหลายคาแร็คเตอร์ในเรื่องที่มันต้องมีอย่างน้อยๆ คนนึงล่ะที่เหมือนกับคนในออฟฟิศตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะเหมือนกับตัวเราเองเลยก็ได้
เป็นหนังที่ดูแล้วก็จะได้แง่คิดอีกมุมหนึ่งของการใช้ชีวิตนะครับ จะเป็นอะไรที่เบาๆ สบายๆ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหนังไทยที่จะทำให้คุณได้ผ่อนคลาย ดูแล้วก็จะคิดได้ว่าความจริงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในหนังเหล่านี้เนี่ย ล้วนแล้วเราเคยสัมผัสมาบ้างไม่มากก็น้อย มันขึ้นอยู่กับว่าเราเคยสังเกตคนต่างๆ ที่อยู่ในองค์กรเราหรือเปล่า ลองมาดูเรื่อง “ยอดมนุษย์เงินเดือน” เรื่องนี้กันครับ แล้วคุณจะเข้าใจคำว่ามนุษย์เงินเดือนได้อย่างดีขึ้น ซึ่งผมก็หวังว่าทุกๆ คนจะดูไปยิ้มไปและมีความสุขกับหนังเรื่องนี้กันครับ
นิยามคำว่า มนุษย์เงินเดือน
นิยามของผมต่อคำนี้ก็คือคนที่ทำงาน 9 โมงเลิก 5 โมงเย็น มีโอที ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ บางเสาร์หรือบางอาทิตย์ก็ต้องไปทำงานบ้าง ถึงสิ้นเดือนรับเงินเดือน ถึงปลายปีรับโบนัสอะไรต่างๆ เหล่านี้นะครับ ความเป็นมนุษย์เงินเดือนมีระดับต่างๆ ของแต่ละองค์กร ความเป็นมนุษย์เงินเดือนทุกคนมักจะมีความสุขทุกครั้งที่มีวันหยุด แล้วเราก็จะคิดว่าวันหยุดเราจะทำอะไรดี เราอยากจะไปเที่ยวไหน และในทุกๆ ครั้งที่หมดวันหยุด เราจะรู้สึกว่าเราจะต้องไปต่อสู้กับงานในวันพรุ่งนี้ต่อไป เราจะเบื่อกับรถติด คนที่นั่งรถเมล์ไปทำงานต้องออกมายืนรอรถเมล์นอกป้าย รถจอดบ้างไม่จอดบ้างต้องคอยลุ้น ต้องตื่นก่อนเวลาที่เป็นจริงที่ต้องไปทำงาน เพราะต้องเผื่อเวลา นี่แหละคนที่มาทำงานในเมืองแบบนี้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าผมอาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ อันนี้ต้องยกเครดิตและก็ชื่นชมกับคนที่สามารถทำงานในออฟฟิศหรือเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์เงินเดือนด้วยซ้ำไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราสนุกและรู้จักใช้ชีวิตทำงานรูปแบบนี้ของเราอย่างเต็มที่ มันก็ถือว่าเราได้ “โบนัสชีวิต” ของการเป็นมนุษย์เงินเดือนนะครับ