ฟิทช์ให้อันดับเครดิตภายในประเทศ แก่หุ้นกู้ชุดใหม่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

ข่าวทั่วไป Friday September 24, 2004 15:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวที่ระดับ ‘A(tha)’ แก่หุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน ไม่ด้อยสิทธิ ชุดใหม่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ครั้งที่ 2/2547 ครบกำหนดไถ่ถอน ปี พ.ศ.2551 มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท โดยแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้ หุ้นกู้ของ SCC และหุ้นกู้ของบริษัทย่อยคือ บริษัทเยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) หรือ SPP ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในไตรมาส 4 ปี 2547 จำนวนรวม 1.1 หมื่นล้านบาท
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ SCC รวมถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรในธุรกิจหลักที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต การที่ SCC ให้ความสำคัญในการลดระดับหนี้สิน การพัฒนารายได้ที่มาจากธุรกิจหลัก และการขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้สถานะทางการเงินของ SCC มีการฟื้นตัวดีขึ้น โดย SCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักเงินลงทุน (net free cash flow) เป็นบวกในช่วงระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2547 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (Consolidated net debt to EBITDA ratio) ของ SCC ลดลงมาอยู่ที่ 2.9 เท่า จากระดับ 3.5 เท่า ณ สิ้นปี 2546 หากรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมและบริษัทอื่นๆ consolidated net debt to EBITDA ratio ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2547 จะลดลงอยู่ที่ระดับ 2.6 เท่า โดยมีแนวโน้มที่ SCC จะสามารถรักษาระดับ consolidated net debt to EBITDA ratioให้ต่ำกว่าระดับ 3.0 เท่าได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 และลดอัตราส่วนดังกล่าวไปที่ 2.0 เท่า ภายในสิ้นปี 2548 หนี้สินรวมของ SCC ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2547 อยู่ที่ระดับ 110.9 พันล้านบาท (ลดลงจากระดับ 117.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2546) ซึ่งประกอบด้วยหนี้สินระยะสั้น 36% และหนี้สินระยะยาว 64% โดยหนี้สินส่วนใหญ่อยู่ในรูปของหุ้นกู้ในประเทศ จากสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นในปัจจุบันและผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ส่งผลให้ SCC อยู่ในสถานะที่สามารถตอบสนองความจำเป็นที่ต้องลงทุนขยายธุรกิจ และมีความต้านทานความผันผวนของผลการดำเนินงานในอนาคตได้มากขึ้น
SCC คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปี 2547/48 ส่วนใหญ่ในการปรับปรุงและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ โดยในระหว่างปี 2547 SPP ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ฟินิกซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPPC จากสัดส่วน 64% ณ สิ้นปี 2546 เป็น 77.8% ในปัจจุบันและยังได้ทำการเสนอซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือของ PPPC ด้วย ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินทั้งสิ้นประมาณ 4 พันล้านบาท เนื่องจากในปัจจุบันกลุ่มธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์มีการเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตแล้ว SPP มีแผนการลงทุนเพิ่มในธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนและกระดาษเพื่ออุตสาหกรรมในช่วงปี 2548/49 นอกจากนี้ แผนการลงทุนอื่นๆ ของ SPP ประกอบด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของบริษัท United Pulp and Paper ในประเทศฟิลิปปินส์ และของบริษัท ไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) ในส่วนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี SCC ได้ซื้อหุ้นจำนวน 13.5% ในบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPC ในระหว่างปี 2547 ซึ่งทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ SCC ใน TPC เพิ่มเป็น 39.6% โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท ในขณะนี้ SCC ยังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจปิโตรเคมี
SCC ประกาศกำไรสุทธิ 1.5 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2547 เพิ่มขึ้น 66% จากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2546 เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมที่สูงขึ้นโดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจเหล็ก และการลดลงของดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงิน ในครึ่งปีแรกของปี 2547 SCC มี EBITDA ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการที่สูงกว่าความคาดหมายของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์มี EBITDA อยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวอันเป็นผลจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น แนวโน้มที่ยังคงดีของภาคธุรกิจก่อสร้างและภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ (ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักส่งเสริมการเจริญเติบโตของกลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์ และ กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง) รวมถึงแนวโน้มราคาในช่วงวัฐจักรขาขึ้นของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานของ SCC ในช่วงปี 2547 ถึงปี 2548
ติดต่อ:
อรวรรณ การุณกรสกุล, CFA, กรรมการ, ภาคอุตสาหกรรม + 662 655 4766
วสันต์ ผลเจริญ, นักวิเคราะห์, ภาคอุตสาหกรรม + 662 655 4763
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, ผู้ช่วยกรรมการ, ภาคอุตสาหกรรม + 662 655 4760
Vincent Milton, กรรมการผู้จัดการ + 662 655 4759
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่า ‘AAA’ ในระดับการจัดอันดับเครดิตแบบสากล (International Ratings) อันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับอันดับเครดิตแบบสากล เนื่องจากอันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย แนวโน้มอันดับเครดิตบ่งบอกถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตภายในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ