กรุงเทพฯ--9 พ.ย.--ทีเอ็มบี
อานิสงค์แอลพีจีเติบโตสูง ดันยอดสยามแก๊สเข้าเป้า 50,000 ล้านบาท พร้อมลงสนามอาเซียนและเตรียมเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออก ทีเอ็มบีสนับสนุน 1,500 ล้านบาท ร่วมปูทางสู่ผู้นำตลาด
สยามแก๊สสุดปลื้มรายได้ปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ตามเป้าหมาย 50,000 ล้านบาทรับอานิสงค์จากดีมานด์แอลพีจีภาคครัวเรือนขยายตัว พร้อมลงสนามอาเซียนหลังสะสมกำลังด้านการผลิตทั้งในจีน เวียดนาม สิงคโปร์ ย้ำมีคลังเก็บแก๊สใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก เตรียมขึ้นแท่นผู้ค้าแก๊สรายใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออก ด้านทีเอ็มบีอุดหนุน 1,500 ล้านบาท ร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก
นายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ปิโตรเคมีคัลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่สยามแก๊สมีอัตราการเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดด จากที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 30% จากปีก่อนหรือประมาณ 50,000 ล้านบาท คาดว่าสามารถทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอนภายในสิ้นปีนี้ก็ โดยมีปัจจัยหนุนมาจาก 2 ทาง คือจากการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนซึ่งทำให้แอลพีจีขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการที่สยามแก๊สเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงในตลาด มีระบบการขนส่งที่ดีครบวงจรแบบ Fully Integrated Business มีคลังกระจายอยู่ทั่วประเทศ 4 แห่ง และกำลังสร้างแหล่งที่ 5 นอกจากนี้ยังมีระบบ Logistic ที่มีมาตรฐาน มีทั้งรถขนส่งแก๊ส เรือขนส่งแก๊ส รวมถึงเรือ Very Large Gas Carrier (VLGC) จอดอยู่ที่ช่องแคบมะละกา ซึ่งเปรียบเสมือนคลังแก๊ซขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
นอกจากปัจจัยในประเทศแล้ว สยามแก๊สยังมีปัจจัยหนุนจากการเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. และ BP Zhuhai (LPG) Limited ซึ่งเป็นคลังแก๊สขนาดใหญ่ในซัวเถา และจูไห่ รวมถึงมีกิจการ Supergas Company Limited ในเวียดนามและได้เข้าซื้อกิจการ Shell Gas (LPG) Singapore Pte. Ltd.ในสิงคโปร์ จึงทำให้ขณะนี้บริษัทมีคลังเก็บแอลพีจีที่รวมแล้วใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออก ซึ่งยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของสยามแก๊สที่มุ่งขยายตลาดในต่างประเทศนี้ ถือเป็นหัวหอกสำคัญที่ช่วยผลักดันธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น คาดว่าภายในปี 2555 สัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายแอลพีจีในประเทศกับต่างประเทศจะเปลี่ยนไป จากเดิมมีสัดส่วนในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 50:50 ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็น 40:60 ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถรองรับการเติบโตของภาคพลังงานในประชาคมอาเซียนต่อไปได้
“หากรัฐบาลมีการลอยตัวราคาก๊าซของภาคครัวเรือนให้เท่ากับภาคอุตสาหกรรม ก็จะเป็นโอกาสให้สามารถนำเข้าแก๊สเพื่อเข้ามาทำตลาดในประเทศได้ โดยในปัจจุบันบริษัทฯ เองก็ได้มีการนำเข้าแก๊สจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอยู่แล้ว แต่ส่งตรงเข้าไปสู่ประเทศในอาเซียนและจีน ยังไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากปัญหาทางด้านต้นทุน ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตเกือบเท่าตัวเพราะสามารถขายในราคาที่ไม่ต้องถูกควบคุมได้ ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทฯ บริหารต้นทุนและการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถขยับจากผู้ค้าระดับกลาง (Midstream) สู่ผู้ค้ารายใหญ่ระดับต้นน้ำ ( Up Stream) ในอนาคตได้อย่างแน่นอน”นายวรวิทย์กล่าวในที่สุด
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี เพิ่มเติมว่า “อุตสาหกรรมพลังงานเป็นอุตสาหกรรมที่ทีเอ็มบีให้การสนับสนุนมาตลอด โดยเฉพาะก๊าซที่เป็นแหล่งพลังงานหนึ่งที่มีความสำคัญต่อประเทศไม่ว่าจะเป็นภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม หรือการขนส่ง บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทค้าก๊าซปิโตรเลียมอันดับ 2 ในประเทศรองจากปตท. ซึ่งทีเอ็มบีได้จับตามองมาตลอด พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างมั่นคงและรวดเร็ว ประกอบกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการจะขยายตลาดสู่ AEC รวมถึงแผนการลงทุนในต่างประเทศที่ชัดเจน ธนาคารจึงมั่นใจในศักยภาพของสยามแก๊สและพร้อมเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแบบครบวงจรเพื่อตอบสนองด้านความคล่องตัว โดยให้วงเงิน Combined Line มูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าสามารถนำไปใช้สำหรับเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนไม่ว่าจะใช้ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ ”