ไฟว์สตาร์ สัมภาษณ์คุณศุภกรณ์ กิจสุวรรณ รับบทเป็น หมอโอมในอุกกาบาต

ข่าวทั่วไป Monday September 27, 2004 15:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น
สัมภาษณ์คุณศุภกรณ์ กิจสุวรรณ รับบทเป็น หมอโอมในอุกกาบาต
- ทำไมถึงสนใจหนังเรื่องอุกกาบาต
คือปัจจุบันนี้มีหนังเยอะมีทั้งหนังอินดี้ หนังแนวใหม่ๆ คลื่นลูกใหม่ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ผมเองโดยส่วนตัวชอบงานของอาบัณฑิตมานานแล้ว อาเป็นคนที่ทุ่มเทมาก อาก็เคยคุยกับผมมาเป็นปีแล้วถึงโปรเจ็คใหม่ของเขา ที่นี้พออาจะเปิดเรื่องอุกกาบาตก็ถามว่าอยากเล่นเป็นจิตแพทย์ไหมในอุกกาบาต ก็เลยสนใจเพราะไม่เคยรับบทเป็นจิตแพทย์มาก็ก่อนด้วย รับบทอื่นๆ มากเยอะแต่ไม่เคยรับบทหมอเลยอยากเล่น มันจะออกมาแนวแอ็คชั่น
แฟนตาซีด้วยก็สนใจ
- รู้เรื่องราวของหนังเรื่องนี้มาก่อนไหมว่าจะเป็นยังไง
ไม่รู้เลย อาบัณฑิตจะให้แต่เรื่องสั้นและก็ลักษณะของตัวละครที่เราจะเล่นนิดหน่อย ส่วนบทจะถูกเปลี่ยนในทุกๆ ครั้งที่ถ่ายทำ คือเราเจอผู้กำกับที่มีประสบการณ์สูง ก็จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้เข้าการสถานการณ์ และก็ตัวละครที่เข้า อาก็จะมีการปรับบทอยู่เรื่อยๆ
- ในเรื่องนี้มีแอ็คชั่นพอสมควรด้วย เจอปัญหาอะไรบ้างไหม เป็นยังไงบ้าง
ในเรื่องนี้ก็จะเจออุบัติเหตุที่ขา คือเอ็นขาดไป 2-3 เส้น กระดูกแตกบ้าง เรื่องรับบทหนัก คือรับบทเป็นหมอแต่เป็นหมอที่หลากหลายมาก
- หลากหลายยังไง
รับบทเป็นจิตแพทย์ชื่อ “ หมอโอม ” จะเป็นคนที่ซีเรียสเรื่องของการทำงาน แต่ก็จะกุ๊กกิ๊กบ้างในเรื่องของความรัก บุคคลิกของหมอโอมจะเป็นคนเฉยๆ นิ่งๆ เป็นคนเรียบง่าย ใช้ชีวิตสมถะพอสมควร แต่มันจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ของมีการเปลี่ยนแปลงบุคคลิกของตัวเองคือโดนจิตคนอื่นแทรก คือเป็นหมอแล้วก็รักษาคนไข้จนวันหนึ่งก็จะโดนการิน ( อู:ภาณุ ) ใช้พลังจิตมาทำให้เราเกิดสภาพจิตที่ไม่เป็นปกติโดยเอาสิ่งที่เราซึมซับจากการรักษาคนไข้โดยใช้พลังจิตของเราเองแสดงออกมา เรื่องนี้คาร์แรคเตอร์จะหลากหลายมาก ในเรื่องตัวหมอโอมเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองมีพลังพิเศษบางอย่างหรือพลังจิตที่สามารถนำมาใช้ในการรักษาคนไข้ได้ แต่จะถูกผอ.โรงพยาบาลซึ่งเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าตลอด แต่ก็จะมีหมอบุญปรก ซึ่งเป็นอาจารย์หมอรับทบโดยพี่ปั๋ง : ปกาศิต โบสุวรรณ ก็จะรู้กันว่าเคสนี้นะต้องให้หมอโอมรักษา รักษาไปหลายคนมันก็จะเหมือนจิตของคนที่เรารักษามันสะท้อนกลับเข้ามาหาตัวเราก็จะมีลักษณะเป็นเหมือนจิตแปรปรวนเป็นคนบ้าเมียรักเมียมาก เดี๋ยวเป็นคนบ้าผู้หญิง เดี๋ยวก็เป็นคนที่คิดว่าตัวเองเป็นดาราแอ็คชั่นบู้ คาร์แรคเตอร์ของคนเหล่านี้ก็จะซึมเข้ามาอยู่ในตัวหมอโอม
- คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเข้าใจยากไหม สำหรับคนที่ได้ดูในความรู้สึกของต็อกเอง
สำหรับนักดูหนังที่ชอบแบบด้น คือชอบดูหนังแบบศึกษาไปด้วยตัวเอง ชอบที่จะตีความเอง คิดตามเองก็ไม่จำเป็นต้องดูเรื่องย่อก่อน แต่ก็จะมีคนบางกลุ่นที่ต้องของอ่านเรื่องย่อก่อน ทำความเข้าใจก่อนก็มี คือคนที่ดูหนังก็มีหลายแบบ คนที่ชอบดูแบบด้นเขาก็จะชอบคิดตามเอง เขาก็จะสนุกกับมัน แต่ถ้าคนที่ชอบดูหนังแบบรู้เรื่องราวมาบ้างก็ควรที่จะมีการอ่านเรื่องย่อก่อน
- การทำงานกับคุณบัณฑิต เป็นอย่างไรบ้าง แตกต่างจากผู้กำกับคนที่ที่เคยร่วมงานมามาก-น้อยแค่ไหน
เป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกัน ก็แตกต่างมากกับผู้กำกับคนอื่นๆ อาบัณฑิตจะเป็นผู้กำกับรุ่นเก๋าแต่ทำงานไวกว่าวัยรุ่นมากเลย คือทุกอย่างจะไวมาก จะมีการเซทไว้ และอธิบายงานชัดเจนมีการรับความคิดของนักแสดงและก็มีการปรับอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นผู้กำกับที่รุ่นใหญ่แต่มีความเป็นวัยรุ่นตลอด จริงๆ ผู้กำกับแบบนี้นักแสดงจะชอบเพราะชัดเจนดี มีสิ่งที่จะต้องให้ทำเยอะ ไม่ใช่แค่ออกมาจากบ้านแล้วก็มารับเล่นแค่บทๆ นี้เท่านั้น แต่เขาจะให้หลายๆ อย่างที่ดี คือพอมีอะไรที่คุยกันแล้ว แล้วเรามีอะไรที่เป็นไอเดียใหม่ขึ้นมาอาบัณฑิตจะให้โอกาสเอามาใช้ในงานแสดง
- ในหนังเรื่องนี้มีลีลาในการแอ็คชั่นเยอะ อันนี้มีการดีไซด์ท่าทางก่อนรึเปล่า
ตอนฝึกซ้อมจะไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีการดีไซด์ท่าทางอยู่แล้ว แต่พอถ่ายทำไปตรงนั้นเราคิดของเราเอง แสดงออกมาเอง แต่จริงๆ เราก็เสี่ยงนะ เพราะสลิงที่เราใช้มันก็ทำกันขึ้นเอง โดดไปโดดมาอาจจะหลุกลงมาได้ แต่ตรงนั้นเราก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็มีบ้างที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น กระดูกแตก ข้อเท้าพลิก เอ็นขาขาด 2 ข้าง คือมันก็จะขาดไป 2-3 เส้น แต่ถ้าเราออกกำลังกายเนื้อเยื่อใหม่ก็จะสร้างขึ้นมาหุ้มอีกทีแต่มันก็จะไม่สมบูรณ์ที่นี้เราก็ต้องเซพตี้ตัวเองด้วยการใส่แองเกล มันจะมีหลายๆ ฉากที่ยากๆ อย่างฉากที่ต้องโดดจากความสูงระดับเท่าต้นตาล โดดเองแบบไม่ใช้สลิง โดลงมาบนลังกระดานที่เขากองๆ เอาไว้
- คุณบัณฑิตต้องการเช่นนั้นโดยที่เขาจะบอกไว้ก่อนเลยรึเปล่าว่าต้องทำอย่างนั้น
ที่จริงผมก็รู้ว่าเขาก็อยากได้อย่างนั้นแต่ไม่บอกตรงๆ แต่จะมีคำพูดหนึ่งที่พูดว่า “ ไม่เป็นไรใช้สแตนอินก็ได้ แต่มันจะเห็นหน้า ” พูดอย่างนี้ก็ต้องเราละนะ อย่างนักแสดงคนอื่นก็เจอนะ อย่างน้องอุ้มตอนโดดตึก แต่อุ้นเขาเก่งนะน้องใหม่ด้วยเขาจะอาศัยความอดทนสูงมาในหนังเรื่องนี้เพราะต้องท่าตัวดำทั้งตัว อึดมาก
- มีกี่ฉากที่จะต้องโดดแบบนี้
โดดฉากหนึ่งก็จะเยอะนะเพราะบางทีจะถ่ายหลายมุม และก็มีฉากที่ต้องโดดใส่กำแพงและก็ดีดตัวเองออกมาตอนที่ดีดออกมาก็จะมีเอฟเฟคระเบิดอีก มีขาแตกด้วยเพราะพลาดไปเจอเอฟเฟค คือฉากนี้เราต้องแม่นเรื่องของจังหวะที่จะกระโดด คือสลิงที่ใช้ขณะที่เราลองตัวไปมันก็จะเบี้ยวไปมามันไม่ตรงจุดเอฟเฟค คือมันเป็นสลิงแบบประยุค ทำกันเอง อย่างพอเราชี้จุดว่าจะต้องระเบิดตรงนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เบี้ยวไม่ตรงจุดเพราะทีตอนซ้อมจะดึง 8 คน พอเอาจริงมาช่วยกันดึงอีกเป็น 12 คน แรงมันก็ไม่เท่ากัน ขาดๆ เกินๆ
- ตอนนั้นเราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้ายังไง
แก้ไขสถานการณ์เฉพาะก็คือ ภาวนาว่าขออย่าให้เกิดอะไรขึ้น เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางครั้งมีถึงขนาดว่าขาพลิกไปแล้วตอนที่เอ็นมันขาดแล้วผมก็ไม่รู้เรื่อง ผมแย่เลยเหตุการณ์นี้ผมเคยเป็นตอนเล่นสุริโยไท ของท่านมุ้ย ผมเคยฝึกซ้อมหนักมากในตอนนั้น ฉะนั้นผมคิดว่าการแก้ไขสถานการณ์ของผมนอกจากการภาวนาแล้ว ผมก็จะอาศัยประสบการณ์ของเราที่เราเคยได้เคยเกิดขึ้นกับเรามาปรับใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น คือเราจะรู้เทคนิคก็เซฟตัวเอง บางครั้งที่เราจะไปเชื่อเขาอย่างเดียวและเราก็ทำเต็มที่ แต่ผลที่เราได้รับคือเราเจ็บหนัก พอถึงตรงนั้นก็ไม่มีใครมารับผิดชอบเรา และถ้าเราไม่ทำเดี๋ยวก็จะบอกว่าไม่มีคุณภาพ ถึงอยากบอกให้ทั่วโลกมาดูการทำงานของนักแสดงไทย ไม่ว่าจะเป็นสตั้นแมน หรือ ตัวนักแสดงเองก็ตาม แต่ละคนใช้ความสามารถเฉพาะตัวกันทั้งนั้น ไม่มีที่ไหนแล้วล่ะที่จะกล้าลงทุนแบบนี้ คนไทยสุดยอดแล้ว
- ฉากไหนที่หนักใจ
ก็จะเป็นพวกที่ขึ้นสลิงต่างๆ จะขึ้นๆ ลงๆ ตลอดทั้งวัน พอรู้สึกว่าอเจ็บก็ลง หายก็ต่อ มีบางทีสลิงขาดด้วยนะ คือตอนนั้นขึ้นไปสูงอยู่ในระดับตึก 3 ชั้น ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยวที่สุดของคนเรานะ ในเรื่องสิ่งที่หมอโอมจะต้องเป็นคือ เมื่อเขารวบรวมพลังจิตขึ้นมาแล้ว ท้วงท่าของเขาจะดูเป็นคนที่มีพลังก็จะดูแล้วไม่มีความเป็นหมอที่สุขุม นิ่งเฉยเลย
- ตรงนั้นเราต้องใช้จินตนาการของเราใส่เขาไปด้วยว่ามีต้องมีพลังขนาดไหนรึเปล่า
ใช่ เพราะว่ามันก็จะความสำคัญมากในเรื่องของการใช้จินตนาการของตัวเองเพราะว่าในขณะนั้นก็จะมีบทที่ว่าตอนนั้นไม่ใช่หมอโอมด้วยโดนจิตแทรกซึมอยู่คือว่าต้องทั้งแอ็คชั่น และแอ็คติ่งให้เป็นคนผิดปกติอีก
- เคลียดและเคยสับสนตัวเองบ้างไหม มีหลากหลายในตัวมากขนาดนี้
ก็มีบ้างช่วงแรกๆ เพราะเราซีเรียสกับบท แต่พอหลังๆ มันมีบทที่เป็นจิตแทรกซึม 3 อย่างเลยในวันเดียวกัน บางครั้งก็ในชั่วโมงเดียวกัน เราก็แบ่งตัวเอง คืออาจะเป็นคนที่บริหารเวลาได้ดีมาก ถ่ายวันหนึ่งจะมีเราตลอดเราจะไม่เบรคเลย เดี๋ยวตอนนี้เป็นหมอโอม อีกเดี๋ยวก็ต้องเป็นพวกจิตแทรกเป็นพวกบ้ากาม เดี๋ยวก็ต้องบ้าเป็นดารา จะมึนมาก ที่นี้เราก็แก้มึนด้วยการไม่อ่านบทเลย คือบอกมาว่าวันนี้จะถ่ายอะไรบ้าง และเราก็สดๆ ของเราเอง เพราะถ้ามั่วแต่ไปดูบท หรือว่าเราไปคิดล่วงหน้า ผมมีความรู้สึกว่ามันจะเกร่งมาก ตื่นเต้นมาก ฉะนั้นก็ใช้วิธีว่า เดี๋ยวอาจะว่าเซทแล้วว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง ก็ทำไปตามอาเลย คือในตัวของเราเองจะต้องแก้ไขสถานการณ์เอาเองที่จริงแล้วภาคทฤษฏีกับภาคปฏิบัติมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ตรงนี้จะได้ประสบการณ์จากอาบัณฑิตเยอะมาก อย่างเช่นการใช้เวลาที่สั้นและให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาเป็นคนที่บริหารเวลาได้ดีมาก และรวมถึงตอนที่อาทำงานเรื่องนี้อาเป็นเบาหวานด้วยก็ค่อนข่างที่จะแย่นิดหนึ่งพอถ่ายๆ อยู่เดี๋ยวก็ต้องวิ่งไปหาหมอ แต่เราก็ไม่มีการเบรคเลย เพราะอาบัณฑิตจะเตรียมงานไว้หมดแล้วให้ทีมงานดำเนินงานต่อ ฉะนั้นทีมสำคัญมากโดยเฉพาะผู้ช่วยผู้กำกับและตากล้อง 2 คนนี้จะเป็นผู้ที่รับผิดชอบตอนที่อาไม่อยู่
- และกับการทำงานกับนักแสดงคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง
อย่าง อู : ภาณุ เขาจะเป็นคนที่ทุมเทมาก แต่เขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับแอ็คชั่น รู้สึกว่าเขาจะไม่เคยเล่นแอ็คชั่นมาก่อน เรื่องของการแอ็คชั่นเราจะซ้อมกันบ่อย รวมทั้งซ้อมกับหัวหน้าทีมสตั้นด้วย ซึ่งเขาจะปรับตัวได้เร็ว แต่เขาจะไม่ชอบขึ้นสลิง
- การทำงานในเรื่องนี้ประทับใจส่วนไหน
ประทับใจตรงที่เราได้ประสบการณ์มากเลยจากการทำงานโดยเฉพาะเราต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวล่วงหน้าเลยว่าจะเจอ เราได้ใช้ความคิดเยอะมากที่จะแก้ไข อย่างตอนที่จะต้องกลิ้งลงมาจากภูเขา ถ้าเป็นเมืองนอกเขาจะมีการเซฟนักแสดงโดยการทำหินปลอมขึ้นมา แต่ของเราของจริงล้วน สีหน้าที่แสดงออกมาจริงจังมาก เราจะต้องปรับตัวให้เข้าสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เราต้องตื่นตัวอยู่ตลอด นิ่งนอนใจไม่ได้เลย เรื่องนี้ฝุ่นจะเยอะมากเพราะว่ามันจะเกิดปรากฎการณ์ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นฉากที่อูมา หรือ ผมมา คือจะมาพร้อมพลัง ใบไม้ก็ต้องเซทขึ้นมาโดยเอากระดาษมาตัดเป็นรูปใบไม้แล้วก็ไปชุบสี เราไม่ได้ใช้ใบไม้จริงๆ นะ อนุรักษ์ทรัพยกรธรรมชาติและอีกอย่างเวลามันปลิวภาพที่ออกมาจะสวยมาก เรื่องนี้ใช้งบในการโปรดักชั่น ไม่ว่าจะเรื่องของสลิง ใบไม้ที่ทำขึ้น อีกเรื่องที่ประทับคือการบริหารงานของอาบัณฑิต คืออาต้องทำงานให้คุ้มกับเม็ดเงินที่เสียไป อย่างเราก็เป็นส่วนหนึ่งของงานอะไรที่เราทำได้เราก็จะทำ
- แปลว่าตอนที่เอ็นขาดก็ไม่พักถ่ายต่อ
ก็ประมาณนั้นถ่ายจนเสร็จ แตะก็มีช่วงหนึ่งที่ซีนนั้นหมดแล้วก็ไปหาหมอ ซึ่งโชคดีมากที่ได้หมอดี คือหมอคนนี้เขาเคยเป็นทหารมาก่อนแล้วก็มาเรียนหมอเฉพาะทางคือกระดูก เขาจะรู้เรื่องของกระดูกดี จะเก่งมาก
- หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายนานแค่ไหน
อุกกาบาตจะมีผมตลอดอันนี้ก็เทคิวไปเลย แต่ไม่แน่ใจในเรื่องของระยะเวลา เพราะนั้นเราจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องของเวลา เพราะบางครั้งที่เราคิดถึงเรื่องเวลาจะเคลียด ผมจะปล่อยไปเลย เสร็จเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
- ขอย้อนมาที่เนื้อหาของเรื่อง คือตัวหมอโอมในตอนแรกจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีศัตรูที่มีพลังจิตเหมือนตัวเอง
ในเรื่องคือมีเด็ก 2 คน เกิดในวันเดียวกันกับที่มีลูกอุกกาบาตตก คือตัวโอมเองจะไม่รู้หรอกว่ามีเด็กอีกคนเกิดขึ้นพร้อมกันกับเขาแต่เขาจะสามารถรับรู้ได้ด้วยพลังจิต คือ 2 คนจะมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่สื่อสารกันได้ ว่าเขากำลังจะมา หรือ อยากจะให้เราไปหาเขา
- ในมุมมองของต็อกเอง คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากเรื่องนี้
แน่นอนต้องได้ความสนุก ความบันเทิง และจะได้ปรัชญาชีวิตที่ว่า แม้จะมีการกำเนิด แต่มันก็จะมีจุดสิ้นสุดเหมือนกัน ในเรื่องนี้ตัวการินเองเกิดขึ้นมาเพื่อที่จะทำลายล้างโลกให้หมดเพราะว่าไหนๆ โลกก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาขอเป็นคนทำให้มันหมดไปเอง แต่ตัวของโอมจะคิดว่าโลกเราจะต้องอยู่อย่างสงบ จนถึงวันที่โลกจะต้องแตกดับเราก็จะต้องอยู่กันอย่างสงบไม่ราวีกันและเวลาก็จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เหมือนกับ 2 คนนี้เป็นตัวแทนความดี — ความชั่ว หรือ พวกหยิน- หยาง สุดท้ายแล้วเมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ และอีกอย่างภาพสวยๆ ของหนังเรื่องนี้
- ต็อกเชื่อว่าพลังจิตมีจริงไหม
เชื่อว่ามี เพราะรู้มาว่าเรื่องของพลังจิตมีการพูดถึงกันมานานเป็นพันๆ ปีแล้ว เพราะในบางประเทศมีพูดถึงในข้อกฎหมายเลยว่า การใช้จิตบังคับถือเป็นความผิด การใช้จิตก็คือการสะกดจิตนั่นเอง อย่างตอนที่ผมไปอังกฤษมาผมก็ไปเจอหมอยิวคนหนึ่งเขารักษาคนโดยวิธีการสะกดจิต สมมุติว่าคุณเป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่พอไปหาหมอคนนี้ เขาจะกระแสจิตเป็นตัวบังคับให้คุณลืมเรื่องการสูบบุหรี่พอเสร็จแล้วปุ๊บเดินออกไป คุณก็จะนึกไม่ออกเลยว่าคุณเคยสูบบุหรี่
- ที่บอกว่าเป็นหนังแนวแอ็คชั่น —แฟนตาซี เป็นเรื่องแรกเลยรึเปล่า
เป็นเรื่องแรก สนุกดีนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการสังสรรค์ในกองถ่ายจะน้อยมาก จะทำแต่งานอย่างเดียว อันนี้เป็นการจัดเวลาของอาบัณฑิต คิวทำงานจะแน่นมากอาจจะเป็นเพราะมีช่วงที่อาไม่สบายด้วย ทุกอย่างจึงอัดกันแบบเต็มที่ ผมนับถือนักแสดงทุกคนเลยนะที่ทำงานในเรื่องนี้ อย่างอุ้มอึดมาก น้องฮีนก็สวยนะขึ้นกล้องมาก
- เท่าที่เล่ามาหนักมากเล่นนะกับเรื่องนี้
หนักมากเหมือนกัน แต่ว่าเราจะมีแรงบันดารใจที่อยากจะมันออกมาดี คือเราคิดว่าเหนื่อยๆ ไม่ไหว มันก็จะท้อ คือเราจะต้องรู้สึกสนุกกับมัน พอได้ความรู้สึกนั้นแล้วเราก็จะเต็มที่
- มีคนเขาพูดกันว่าต็อกเป็นพวกไฮเปอร์ รู้สึงยังไง
ครับก็ได้ยินมาเหมือนกัน คือมันจำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเพราะว่าเราต้องบิ๊วตัวเอง เพราะเราต้องรู้วส่าในฉากต่อไปเราต้องเป็นยังไง อย่างถามต้องมีเหงื่อ ต้องแสดงอาการเหนื่อย ผมก็จะใช้เหงื่อจริง เหนื่อยจริง คือผมต้องวิ่ง ก่อนเข้าฉาก ผมว่ามันได้อารมณ์กว่า เพราะเมื่อเราออกแรงเยอะหัวใจเต้นแรง สีหน้าสายตาที่แสดงออกมามันความจริง มันแสดงออกมาจริงๆ
- อันนี้เป็นเทคนินเฉพาะตัวของตัวเองเลยรึเปล่า
เป็นเทคนิคเฉพาะตัวเลย ถ้าเกิดเรามีเหงื่อเต็มตัวเลย แต่หัวใจเราเต้นช้า ไม่เหนื่อยจริง ผมว่าแอ็คติ่งมันไม่ได้ เราต้องทำให้มันเหนื่อยจริง ในกองถ่ายถ้าผมไม่วิ่งก็จะกระโดดเชือกสำหรับในเรื่องนี้ตลอดเพราะว่ามันจะมีแอ็คชั่นอยู่ เพราะถ้าเราไปเข้าฉากแบบง่วงๆ แอ็คชั่นมันก็ไม่ได้ และก็ส่วนหนึ่งการที่เราเป็นนักกีฬาด้วยการที่เราวอม-อัพก่อนเข้าฉาก มันก็ช่วยลดการตื่นเต้นลงไปด้วย เราก็จะอยู่กับตัวเอง เราจะนิ่ง มีสมาธิมากขึ้น เหมือนกับว่าภายในเราพร้อม ภายนอกก็จะคงที่ เราจะมีสมาธิในการทำงาน
- ตอนนี้มีโปรเจ็คอะไรใหม่บ้าง
ตอนนี้มีทำบริษัทร่วมกันกับเพื่อนชื่อ สนุกนึก สตูดิโอ ทำเกี่ยวกับพวกเพลงโฆษณา สื่อโฆษณา สปอตวิทยุหรือโทรทัศน์ และมีเพลงประกอบภาพยนตร์ คือจะทำงานแบบที่อยากทำ ทำแล้วคนดูมีความสุข ก็จะทำ
- และถ้าเกี่ยวกับภาพยนตร์ตอนนี้อยากทำงานแนวไหนหรือบทประเภทไหนที่ยังไม่เล่น
ที่จริงชอบหมดทุกแนว แต่ที่จะชอบมากสุดคือบทที่ดี แต่ก็รู้ว่ามันเลือกไม่ได้ ต้องเขียนบทเอง ถ้าทำเองอยากทำพวกประเภทที่เอาชีวประวัติของคนดังมาทำอย่าง คุณแสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ ประวัติเขาน่าสนใจ เคยคุยกับโปรดิวเวอร์ของอเมริกาเขาก็จะตื่นเต้นมากว่าคนอะไรมีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจมากมาย และสุดท้ายก็มีคติสอนใจว่า การที่เป้นคนที่ประสบความสำเร็จก็จะมีคนวิ่งเข้ามา แต่เมื่อวันหนึ่งที่ตกอับกลับไม่มีใครเลยจนทุกวันนี้ แต่จริงๆ มันสะท้อนถึงสังคมเรานะ คือหมดประโยชน์ก็หมดความหมาย อยากเล่นแนวประเภทพวกปลุกจิตสำนึกให้กำลังใจคน หนังไทยไม่คอยมีนะ ก็เห็นจะมี สุริโยไท และก็โหมโรงนะ--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นห)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ