กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น
สัมภาษณ์ เอราวัต เรืองวุฒิ รับบทเป็นพศิน ในอุกกาบาต
- ก่อนที่จะเข้ามาร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องอุกกาบาต มีผลงานอะไรมาก่อนหน้านี้
ถ้าเกี่ยวกับภาพยนตร์จะเริ่มเข้าสู่วงการนี้มาตั้งแต่ 5 ขวบ เรื่องแรกคือเรื่อง 2 เรา เล่นเป็นลูกของคุณนันทนา เงากระจ่าง นานมากแล้ว และก็ต่อด้วยรักนอกตำรา อันนี้เป็นเรื่องที่ 2 ที่คุณเนาวรัตน์เป็นนางเอก และก็เล่นมาเรื่อยๆ จนอายุ 12 ปีก็หยุดไปเพราะเรื่องเรียนจนจบมหาวิทยาลัย เรื่องสุดท้ายจะเป็นมหาเวสสันดรชาดก และก็กลับมาอีกทีก็จะเป็นงานโฆษณาเป็นพวดเอ็กต้างานโฆษณาอยู่อีก 2 ปี จนแคสหนังได้เรื่องฟ้าทะลายโจร คือแคสแล้วก็รออีก 2 ปีถึงจะได้เปิดกล้องถ่ายทำจริง เรื่องฟ้าทะลายโจรก็รับบทเป็นตำรวจ เรื่องอุกกาบาตก็เป็นตำรวจเหมือนกัน แต่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ไม่ได้เล่นเป็นตัวร้าย แต่เรื่องนี้จะเล่นยากกว่าฟ้าทะลายโจรเพราะเราต้องปรับตัวเองเยอะ เท่าผ่านมาเราจะเล่นในสไตล์ที่ต้องแสดงออกมาเกินจริงบ้าง ดูชัดเจนมากเหมือนโอเวอร์ ๆ แต่เรื่องนี้อาบัณฑิตต้องการให้ออกมาเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ให้คนอื่นสามารถรู้สึกได้ว่าเราเป็นตำรวจจริงๆ เราเลยต้องลดความชัดเจนลง
- ในเรื่องรับบทเป็นอะไร และมีคาร์แรคเตอร์เป็นยังไง?
รับบทเป็นพศิน เป็นตำรวจธรรมดาคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ของตำรวจในการที่จะสืบหาความจริง เรื่องราวต่างๆ การแสดงจะไม่ซับซ้อนอะไร ถ้าคนที่เล่นละครมาแล้วมารับบทในหนังเรื่องนี้จะรู้สึกว่ามันยากนะเพราะยากตรงที่จะทำยังไงให้คนรับรู้โดยไม่ต้องแสดงออกอะไรมาก คือการรับบทตรงเราเราจะต้องพยายามสวมวิญญาณของตำรวจ คิดอย่างที่ตำรวจเขาคิดกัน ให้เป็นธรรมชาติ ให้คนดูเขารู้สึกว่าเรากำลังคิด กำลังสงสัย โดยต้องไม่แสดงออกจนเกินจริง ต้องให้ความรู้สึกเหล่านี้ออกมาจากข้างใน เหมือนว่าตัวเราสงสัยเอง คิดเอง คือตอนที่เราเล่นเราเป็นพศิน ไม่ใช่เอราวัต แต่เท่าที่เอทำงานมาส่วนมากจะเป็นการแสดงออกที่ชัดเจน จนดูเหมือนโอเวอร์ ตรงนี้ยอมรับว่าติดมา ต้องปรับตัวเองเยอะมาก เลยจะรู้สึกว่ามันยาก อาบัณฑิตต้องการให้ตัวละครตัวนี้ดูเป็นธรรมชาติไม่เคลียด เพราะตัวละครตัวอื่นๆ มันเคลียดอยู่แล้ว อย่างตัวพี่ปั๋งรับบทเป็นหมอบุญปรบ ก็จะเป็นตัวที่เคลียดเป็นนักวิเคราะห์ ฮีนที่เป้นหมอวารีอันนี้ก็จะเคลียดเพราะตามหาหมอโอมคนรักซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ที่นี้ตัวของสารวัตรพศินจะต้องเป็นตัวกลางที่ดูนิ่งๆ แต่ด้วยหน้าที่จะไม่นิ่งเพราะต้องคอยสืบหาความจริงต่างๆ ในใจของพศินต้องคอยคิดตลอดแต่ต้องแสดงออกมาว่าสุขุมเยือกเย็น ตรงนี้ผมว่ามันยากนะ
- อุกกาบาตเป็นการทำงานร่วมกับคุณบัณฑิตเรื่องแรกรึเปล่า
เรื่องแรกครับ และก็เป็นเรื่องแรกที่ผมกลับมาเล่นภาพยนตร์ 2 ปีเห็นจะได้ เพราะหลังจากฟ้าทะลายโจร ผมไม่มีงานภาพยนตร์เลย เรื่องนี้ผมจะตั้งใจมาก เราต้องล้างใหม่หมดเพราะหนังกับละครมันก็เป็นการทำงานที่ต่างกัน เคยทำงานละครที่ต้องรับบทแรงๆ สีหน้าชัดเจนจริงจัง แอ็คติ่งเกินจริงบ้าง พอมาเป็นงานหนังมันต้องลดก็หนักเอาเรื่องเหมือนกัน กับงานหนังเราก็จะไม่แน่ใจนะว่าควรจะต้องออกอาการแอ็คติ่งแบบชัดเจน จัดๆ หรือจะยังไงดี แรกๆ ก็ต้องปรับตัวกันเยอะหน่อย
- เป็นเพราะไม่รู้แนวการทำงานของคุณบัณฑิตด้วยรึเปล่า
ก็รู้นะ ผมจะติดตามผลงานของอาบัณฑิตมาตลอดตั้งแต่บุญชู แนวของอาบัณฑิตจะมีมุขตลก มีป่าเขา ธรรมชาติๆ ตอนแรกๆก็จะคุณกับพี่ปั๋งว่าเราจะจับแนวทางของตัวละครที่ตัวเองรับเล่นกันยังไงดี เพราะเรื่องนี้ยากอยู่อย่างหนึ่งคือเรื่องของบทจะมาแบบไม่เรียงเนื้อเรื่อง คือวันนี้ถ่ายแบบนี้ อีกวันก็จะอีกอย่าง มันไม่ปะติดปะต่อกัน บางทีบทก็จะเสร็จหน้ากองบ้าง คือเราก็จะไม่ทราบก่อนเลยว่าซีนนี้ ฉากนี้เรื่องราวจะเป็นยังไง อย่างละครเขาจะส่งบทให้เราดูก่อนล่วงหน้า 3 ตอน แต่หนังไม่ใช่ คือเราจะรู้เฉพาะเรื่องย่อ แต่จะไม่รู้ว่าซีนไหนจะถ่ายก่อน-หลัง เขาจะไม่เรียง ยอมรับเลยครับว่าเรื่องนี้สำหรับผมเป็นการทำงานครั้งแรกที่เทคเยอะที่สุด และในการทำงานในแต่ละครั้งก็จะตื่นเต้นมาก มันแปลกดี อาจจะเป็นเพราะเป็นการทำงานกับอาบัณฑิตครั้งแรก เราจะได้ยินชื่อเสียงเขามาตั้งแต่เราเด็กๆ แล้ววันหนึ่งเราได้มาร่วมงานกับเขาก็จะตื่นเต้น ประกอบกับบรรยากาศการทำงานที่มันจะจริงจังมาก เราจะพลาดไม่ได้นะอันนี้จะท่องเอาไว้ในใจ
- ทำงานกับคุณบัณฑิตเป็นยังไงบ้าง
อาบัณฑิตจะเป็นคนที่ลุย เป็นเหมือนแม่ทัพ นำทัพไป ตัวเราเหมือนกับทหารกองหน้าที่ทำตามคำสั่งแม่ทัพ ถ้าเป็น ผู้กำกับยุคนี้รุ่นนี้ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งในความรู้สึกจะเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่มากกว่า เราจะเกรงๆ เขานะ และเรื่องนี้จะอยู่ในป่าตลอดการทำงานก็จะเจออุปสรรคเยอะ นอกจากธรรมชาติแล้วยังมีอีกอย่างคือ ตัวผมเองจะขับรถไม่เก่ง แต่ในเรื่องก็จะต้องทำเป็นเหมือนว่าเราเก่งมาก เรื่องนี้มันต้องอาศัยทักษะที่ดีมากในการขับรถเราเพราะจะต้องขับรถฝ่าหมอก พายุ ฝน และฝุ่น เป็นรถที่มีกล้องตั้งอยู่อีก ถ้าขับไม่ดีกล้องเขาหล่นก็หลายตังค์เลย ผมจะเคลียดมาก กังวลไปหมด ต้องแอ็คติ่งไปด้วย ขับฝ่าพายุฝน มันหลายอย่าง ตรงนี้ผมจะบอกอาบัณฑิตก่อนเลยแต่อาบัณฑิตก็เฉยๆ นะดูไม่กังวลอะไรว่าเราจะทำไม่ได้ คือเขาจะไว้ใจเรา เชื่อใจเราว่าเราต้องได้ ตรงนี้ผมจะรู้สึกดีมากมันสร้างความมั่นใจให้ได้เยอะเลย
- ฉากไหนที่รู้สึกว่ามันยากสำหรับเรา
ฉากที่หนักจริงๆ จะเป็นฉากที่ต้องขับรถลงมาจากเนินเป็นทางยาวขับลงมาก็เจอฝน และก็มีหมอก มีฝุ่นเถ้าและใบไม้เต็มไปหมด และพอผ่านไปออกจากหมอกปุ๊บก็จะเจอคน 20 คนยืนเรียงอยู่ แล้วเราต้องเบรก คือถ้าพลาดก็ชน แต่ตรงนี้มันจะค่อนข้างเสี่ยง ผมจะขออาบัณฑิตเลยว่าของใช้สแตนอิน เพื่อความแน่ใจคือจะให้ขับไปใกล้มากๆ แล้วค่อยเบรก ผมขอไม่ดีกว่า และอีกอย่างตอนนั้นมันก็เริ่มมืดแล้ว ไม่เสี่ยงดีกว่า แต่จริงๆ แล้วหนักใจและรู้สึกยากในทุกๆ ซีนที่ต้องขับรถ
- ปกติเป็นคนที่ไม่ขับรถด้วยรึเปล่า
ไม่ใช้รถครับ เวลาไปกองถ่ายก็จะมีรถมารับ เพราะว่าเวลาที่เราทำงานมากๆ มันไม่ไหวนะ ขับแล้วจะง่วง
- และกับการทำงานร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง
เรื่องนี้จะเข้าฉากมากๆ กับพี่ปั๋ง พี่ตุ๋ย และน้องฮีน พี่ปั๋งจะเป็นอาจารย์สอนขับรถผม เพราะเขาจะต้องนั่งข้างหน้ากับผม ตอนนั้นมีอยู่ฉากหนึ่งที่จะต้องขับรถลงข้างทางที่มีต้นไม้เต็มไปหมด คือจะต้องขับแบบหักหลบไป หลบมา จะยากมากผมจะบอก อาบัณฑิต เลยว่าผมขับรถไม่เก่งนะ แต่อาก็จะเฉย ให้ผมเล่นไม่มีทักท้วงอะไรเหมือนเขาเชื่อว่าเราทำได้ นักแสดงคนอื่นๆ ที่ต้องเข้าฉากนี้กับเราก็เฉยๆ มันเลยทำให้เรามั่นใจขึ้น ไม่มีใครทำสีหน้าตกใจ หรือกลัวอะไร ฉะนั้นเราต้องทำให้ได้ ถ่ายฉากนี้นั่งลุ้นกันตลอดว่าเราจะทำได้ไหม แต่ก็ผ่านไปได้ จบหนังเรื่องนี้ผมขับรถเก่งเลย ไม่ว่าจะกลับรถ ถอยรถแบบไหนยังไง ผมชำนาญก็เพราะหนังเรื่องนี้
สำหรับการทำงานร่วมกับพี่ตุ๋ยจะสนุกนะ เขาจะมีไอเดียใหม่อยู่เรื่อย พี่เขาจะตั้งใจทำงานนานมาก และก็จะชอบโดนอาบัณฑิตดุเรื่อย ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตัวละครในเรื่องนี้จะมีกรอบของมันอยู่นะไอเดียของพี่ตุ๋ยที่บางครั้งนำเสนอออกมาก็จะอยู่ภายใต้กรอบ อย่างตัวของพศินก็จะมีทิศทางที่วางกรอบเอาไว้ ซึ่งผมเคยเล่นอะไรที่ต้องแสดงออกอย่างรุนแรง ผมต้องลดความแรงตรงนี้ลงเหมือนเราได้เรียนการแสดงใหม่ๆ เลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแอ็คติ่งต่างๆ สีหน้า ท่าทาง ปรับหมด
- รับบทเป็นตำรวจ จะต้องมีการไปเรียนรู้การเป็นตำรวจด้วยรึเปล่า
ดูจากบทแล้วก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพียงแค่เราปรับบุคลิกของตัวเอง พอดีมีเพื่อนเป็นตำรวจ ก็เลยของก็อบปี้ซะเลย
- ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากไหน หรือส่วนไหนที่ประทับใจ
เป็นฉากสุดท้ายที่ปิดกล้อง เพราะเรื่องนี้ถ่ายค่อนข้างยาวนานประมาณ 3-4 เดือน และที่ประทับใจอีกเรื่องคือทีมงานจะลุยมากๆ เขาจะไม่ห่วงตัวเลยกันเลย ลุยโคน ลุยน้ำตลอดจะประทับใจความตั้งใจการทำงาน เป็นทีมเสือจริง พร้อมลุยทุกคน
- ตอนนี้กำลังมีโปรเจ็คอะไรใหม่ๆ อีกรึเปล่า
ก็มีละคร 3 เรื่อง ก็จะมี สืบรัก รหัสลับ อันนี้จะเป็นละครเรื่องแรกที่ไม่ได้เล่นเป็นตัวร้ายมันสื่บเนื่องมาจากเรื่องนี้ และก็เรื่องเทพบุตรขนตางอนอันนี้จะเกี่ยวกับลิเก และก็เรื่องบ้านภูตะวันอันนี้จะเป็นมือสังหาร ก็จะสนุกดีมันจะแตกต่างกัน และก็มีงานการ์ตูนแอนนิแมชั่นอันนี้จะอยู่เบื้องหลังเขียนการ์ตูน ออกแบบคาร์แรคเตอร์ของตัวการ์ตูน เกี่ยวกับนิทานชาดกทศชาติ จะออกอากาศทางช่อง 3 เวลาเดียวกับการ์ตูนอิคิวซัง ทุกวันพุธ คือผมจะเรียนจบทางด้านอินดัสตี้ ดีไซน์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แต่มันก็ไม่ได้โดยตรงกับงานเขียนการ์ตูน แต่ว่าชอบวาดการ์ตูน ชอบอ่านการ์ตูน ก็เลยทำการ์ตูน
- แล้วจริงๆ มองว่าตัวเองอยากทำงานเบื้องหลังด้วยรึเปล่านอกจากทำงานเบื้องหน้าแล้ว
ไม่นะ จริงๆ แล้วอยากทำงานเบื้องหน้า เป็นนักแสดงไปจนแก่ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้มาก-น้อยแค่ไหน เคยคุยกับนักแสดงรุ่นใหญ่ เขาก็บอกว่าได้นะ ถ้าเรามีความตั้งใจ มันอยู่ที่เราดูแลตัวเอง การวางตัว มีวินัยให้กับตัวเอง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ดูแลสุขภาพ ก็เป็นไปได้
- คิดว่าอุกกาบาตเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจตรงไหน
ในความคิดเป็นหนังที่ทำยาก ทำให้สนุกยากมาก อันนี้จะไม่พูดถึงการใช้เทคนิคพิเศษนะ เพราะเป็นเรื่องเราคาดไม่ถึงว่าจะออกมาดี หรือไม่ เอาเฉพาะเนื้อหา คือหนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่อยู่ในยุคกลางเก่า กลางใหม่ มันไม่มีสไตล์เฉพาะ และเรื่องราวมันก็มีการใช้จินตนาการเข้ามามีส่วน มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่มีก็ได้ หรือมีก็ได้ มันเป็นเรื่องของการกระทำของธรรมชาติที่กระทำกับคน แต่มันก็ไม่ใช่ไสยศาสตร์ และมีนก็ไม่ใฃช่แอ็คชั่นซะทีเดียว มันยากนะ ในแง่การนำเสนอ ผมว่ามันน่าสนใจดี น่าสนใจตรงที่เขากล้าทำก็อยากรู้นะว่าจะออกมาเป็นยังไง เอาซายฟรายมาผสมกับป่าและก็มีเรื่องของพลังจิตเข้ามาเกี่ยว และอีกอย่างเป็นงานของอาบัณฑิตด้วย
- คิดว่าคนดูจะได้อะไร
ได้ดูหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง ที่มีการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร มีความแตกต่างจากหนังเรื่องทั่วๆ ไป มันคงจะสนุกดีนะ และก็ได้ดูงานของอาบัณฑิตที่มีการทำงานออกมาในแนวใหม่ มีการเลี่ยงในตัวผู้กำกับที่มีอะไรใหม่มานำเสนอ ผมว่ามันน่าสนใจ
- คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มาก-น้อยแค่ไหน
คาดหวังครับ น่าจะเต็ม 100 ทั้งในด้านการตอบรับ และในด้านตัวหนัง ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่มีหลายมุมมอง มีครบรสไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการนำเสนอในเรื่องของธรรมชาติ การใช้เทคนิคพิเศษ มีเรื่องของความเชื่อ แอ็คชั่น มุขตลก ตื่นเต้น คือมันมีครบนะ ผมว่ามันน่าจะออกมาดี และผมว่าหนังเรื่องนี้ทำประชาสัมพันธ์ยากด้วยนะ จะทำยังไงให้คนเข้าใจ
- ทราบมาว่าจะเปลี่ยนชื่อของตัวเองโดยใช้ชื่อ “ พศิน ” ในอุกกาบาตมันเกิดอะไรขึ้น
คือจริงๆ ตั้งใจจะเปลี่ยชื่อมาปีหนึ่งแล้ว เพราะคนชอบเขียนชื่อเราผิดๆ รู้สึกไม่คอยดีแต่ยังไม่มีจังหวะ ประกอบกับไปดูกราฟชีวิตมามันก็ไม่คอยดีและก็มีคนทักอีก และอีกอย่างมันมีเหตุอยู่ว่ามีช่วงหนึ่งหลังจากที่ผมไม่มีงานภาพยนตร์เลย หลังจากจบจากฟ้าทะลายโจรแล้วก็วางไป 2 ปีกว่าๆ แต่ก็จะมีงานละครบ้างแต่ก็ไม่มาก มีอยู่วันหนึ่งผมไปงานถ้าจำไม่ผิดจะเป็นสุพรรณหงส์ก็ไปเจออาบัณฑิต ผมก็เข้าไปไหว้และของานอาเลยบอกว่าอยากเล่นหนังของอา หลังจากนั้นไม่นานอาก็ให้คนติดต่อมาถามว่าอยากเล่นหนังไหม ผมก็ตกลงเล่นเลยไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรแล้ว ก็ได้มาเล่นเรื่องอุกกาบาตได้รับบทเป็นพศิน พออุกกาบาตปิดกล้องไปไม่นานผมก็มีงานละครเข้ามาอีก 3 เรื่อง มีงานเขียนการ์ตูนเข้ามาอีก ก็เล่นรู้สึกว่าชื่อ “ พศิน ” ถูกโฉลกกับเรา เพราะใช้ชื่อนี้ในการแสดง และ ผมก็ได้ไปดูตำรามหาทักษาว่าด้วยเรื่องการตำราการเปลี่ยนชื่อ มันจะเป็นการนับเลขคือเอาชื่อกับนามสกุลมารวมกันและก็บวกลบให้เลขมันตกลงตรง 24 ก็คือว่าดี คือจะเป็นเรื่องของอิทธิพลของตัวเลขที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น และชื่อพศินก็ตรงกันพอดี ผมเลยจะจากชื่อเดิม เอราวัต แปลว่า ผู้ทรงศีล ผู้ดำรงในธรรม มาเป็น พศิน มีความหมายว่า อำนาจ-บารมี เหมือนกับว่าชื่อนี้นำโชค นำสิ่งดีๆ มาให้ และผมก็ตั้งใจจะเปลี่ยนในวันเดิกผมคือ 31 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ และก็จะไปทำพิธีทรงศาสนาคือนำพระพุทธรูปเขียนชื่อเดิมของเราไว้ที่ฐานพระและก็นำไปถวายที่วัด--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นห)--