สรุปราคาซื้อขายทองคำและ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 09.00 น.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 12, 2012 11:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,734 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,732 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 30.73 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 25,100 บาท กับ 25,200 บาท และกลับมาปิดที่ 25,100 บาท กับ 25,200 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท อยู่ที่ 5,995 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 18,171 คู่สัญญา และSilver Futures อยู่ที่ 77 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท ลดลง 2.6 % แบบ 10 บาท ลดลง 11 % Silver Futures เพิ่มขึ้น 2 % GFZ12 ปิด 25,390 บาท และ GFG12 ปิด 25,530 บาท GF10Z12 ปิดที่ 25,380 บาท GF10G12 ปิดที่ 25,520 บาท SVZ12 ปิดที่ 1,003 บาท สัญญา Comex ปิดเพิ่มขึ้น 4.9 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,730.9 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดเพิ่มขึ้น 35.9 เซ็นต์ ปิดที่ระดับ 32.599 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 1,338.71 ตัน (ขายออก 0.9 ตัน) น้ำมัน NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 98 เซ็นต์ ปิดที่ระดับ 86.07 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ปิดบวก 4.07จุด ปิดที่ 12,815.39 จุด Ratio Gold / Silver เท่ากับ 54 ต่อ 1 ข่าวที่สำคัญ TheBullionDesk, Reuters, Infoquest, Bloomberg และ CNBC ราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เมื่อวันศุกร์ แต่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าในช่วงตอนต้นสัปดาห์อันเนื่องมาจากการไหลเวียนของสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้น 4.9 เหรียญ ปิดตลาด COMEX ที่ระดับ 1,730.9 เหรียญ/ทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม โดยมีปริมาณการซื้อขายประมาณ 10% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 250 วัน และตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำขยับตัวสูงขึ้น 3.3% เนื่องจากนักลงทุนเบนความสนใจจากการเลือกตั้งมาที่ประเด็นภาวะ fiscal cliff ของสหรัฐที่จะมีผลบังคับในต้นปีหน้า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงในวันศุกร์ว่า สหรัฐควรปรับลดหนี้สินภาครัฐที่พุ่งสูง ในแนวทางที่สมดุล ด้วยแผนการซึ่งรวมทั้งการลดรายจ่ายของรัฐบาลและการเพิ่มรายได้ โดยปธน.โอบามากล่าวในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นในทำเนียบขาวว่า กลุ่มคนร่ำรวยของประเทศต้องจ่ายภาษีมากขึ้นเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาทางการคลังของรัฐบาล และความพยายามในการลดหนี้สินไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ในขณะที่นายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ควรมีบทบาทผู้นำในการคลี่คลายภาวะ fiscal cliff ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ผ่านทางการหารือของทั้ง 2 พรรค ทั้งนี้ เขาคัดค้านการปรับขึ้นอัตราภาษีเพื่อจัดการกับความท้าทายทางการคลังของประเทศ โดยอ้างถึงรายงานการศึกษาวิจัยจากเอิร์นส์ แอนด์ ยังที่ระบุว่าการปรับเพิ่มอัตราภาษีเงินได้สำหรับกลุ่มคนร่ำรวยจะกระทบต่อการจ้างงานเกือบ 700,000 ตำแหน่งในสหรัฐ ทั้งนี้ นายโบห์เนอร์และนายโอบามาได้ทำความตกลงกันเรื่องการเพิ่มรายได้ การตัดลดงบประมาณ และการปฏิรูปเพื่อลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยพรรคเดโมแครต รวมถึงกลุ่ม AFL-CIO ได้ต่อต้านการตัดลดสวัสดิการเพื่อสุขภาพ และประกันสังคม โดยก่อนที่การเจรจาจะจบลง นายโบห์เนอร์ได้ยอมรับการเพิ่มรายได้ 8 แสนล้านดอลลาร์ และโอบามาได้เตรียมพร้อมสำหรับงบประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว เจ้าหน้าที่ทางกฎหมายของสหรัฐได้ยืดระยะเวลาของกฎ BASEL III ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ให้กู้ยืมหรือธนาคารต่างๆ ถือเงินสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันการขาดทุนอย่างน้อย 7% ของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ไปจากกำหนดการเดิมที่กำหนดเมื่อวันที่ 1 มกราคม โดยธนาคารกลางสหรัฐ บริษัทประกันเงินฝากของธนาคารกลาง และสำนักงานฝ่ายควบคุมสกุลเงินคาดว่ากฎของ BASEL III จะยังไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ ภายในต้นปีหน้า การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อวันศุกร์ยังคงออกมาในภาพที่ดีขึ้น อันได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนพ.ย.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้พุ่งขึ้นแตะ 84.9 ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนก.ค.2550 จาก 82.6 ในเดือนต.ค. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงมีการฟื้นตัว ฟิทช์ เรทติ้ง เผยเมื่อวันศุกร์ว่า สหรัฐเสี่ยงเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก หากเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะ fiscal cliff หรือมาตรการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่ายขนาด 6 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า หากทำเนียบขาวไม่สามารถตกลงกับสภาคองเกรสได้ ก่อนหน้านี้ฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนว่า หากสหรัฐล้มเหลวในการหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลังและต้องมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ สหรัฐก็มีแนวโน้มจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในปีหน้า ขณะที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐผ่านพ้นไปและบารัค โอบามาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 นั้น ฐานะการคลังระยะยาวของประเทศยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวล ค่า เงินยูโรได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับประเทศสเปนและกรีซ ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปก็เป็นตัวที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโร ให้ลงมาทำจุดต่ำสุดในรอบวันซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาภายหลัง โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสประจำเดือนกันยายนออกมาหดตัวลง 2.7% ลดลงจากที่เคยขยายตัว 1.5% ในเดือนก่อน และออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ว่าจะหดตัวลงเพียง 0.9% อย่างไรก็ตาม งบประมาณของรัฐบาลฝรั่งเศสประจำเดือนกันยายนออกมามียอดขาดดุล 8.5 หมื่นล้านยูโร ดีกว่าเดือนที่แล้วที่มียอดขาดดุลถึง 9.77 หมื่นล้านยูโร นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีประจำเดือนตุลาคมออกมาคงที่ที่ระดับ 0% ตามคาดการณ์ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอิตาลีประจำเดือนกันยายนออกมาหดตัวลง 1.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวลงเพียง 1.4% กลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ปที่มีกำหนดการจะประชุมกันในวันจันทร์นี้อาจล้มหลายในการสรุปข้อตกลงเรื่องเงินช่วยเหลือครั้งล่าสุดของกรีซมูลค่า 3.15 หมื่นล้านยูโร จากความกังวลที่ว่า กรีซอาจไม่สามารถควบคุมระดับหนี้ของตนเองที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวเปิดเผยออกมาหลังจากรัฐบาลกรีซมีการลงมติในเรื่องมาตรการรัดเข็มขัดมูลค่า 1.35 หมื่นล้านยูโรในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำหรับการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมของกรีซ โดยกลุ่มผู้กำหนดกฎหมายของกรีซต้องมีการอนุมัติในเรื่องงบประมาณในวันอาทิตย์ ผลการประชุมรัฐสภากรีซเมื่อวันอาทิตย์ กรีซได้อนุมัติร่างงบประมาณรัดเข็มขัดสำหรับปีหน้า ทำให้สามารถยืดระยะเวลาการขอความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างประเทศ และป้องกันการล้มละลายได้ โดยร่างงบประมาณนี้คาดว่าจะทำให้ระดับหนี้เพิ่มขึ้นถึง 3.46 แสนล้านยูโร หรือเกือบ 190% ของจีดีพีจาก 175% ในปีนี้ และเจ้าหน้าที่ของอีซีบีและอียูได้กล่าวว่ากรีซอาจจะไม่สามารถลดหนี้ไปที่ระดับ 120% ของจีดีพี ภายในปี 2020 อีกทั้งไอเอ็มเอฟ กล่าวว่าระดับเพดานหนี้จะยังอยู่ในระดับสูงในระยะยาว สำหรับทางประเทศสเปนก็ยังคงต่อต้านในการขอความช่วยเหลือจากอีซีบี แม้ว่าเศรษฐกิจของสเปนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงแล้วก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า ผู้นำเข้าทองคำในอินเดียจะมีการเข้าซื้อทองคำก่อนถึงช่วงเทศกาลดิวาลีในสัปดาห์นี้ โดยนักวิเคราะห์ต่างๆ กล่าวว่า ปริมาณความต้องการทองคำแท่งโดยปกติแล้วมักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลแต่งงานของอินเดียที่จะดำเนินไปจนถึงเดือนธันวาคม ธนาคารเพื่อการเกษตรของจีนมีแผนที่จะออกมาตรการการซื้อขายโลหะมีค่าต่างประเทศในปีหน้า หรืออีก 2 ปีข้างหน้า แม้ว่าในปีนี้ความต้องการลงทุนในทองคำของนักลงทุนจีนจะชะลอตัวลงก็ตาม โดยความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารของจีนระดับสูง 2 รายได้ลดความสำคัญในเรื่องความเสี่ยงของหนี้เสียในระบบธนาคารที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้มีความเห็นออกมาว่าช่วงการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ช้าลงในระยะเวลา 7 ไตรมาสได้สิ้นสุดลงแล้ว ราคาทองคำในเช้านี้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมจากความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย อันเนื่องมาจากความกังวลว่าสหรัฐอาจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหาก สภาคองเกรสล้มเหลวในข้อตกลงเรื่องการลดยอดขาดดุล ตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อคืนวันศุกร์ - Import Prices m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 1.1% คาดการณ์อยู่ที่ระดับ 0.0% ตัวจริงจริงออกมาที่ระดับ 0.5% - Prelim UoM Consumer Sentiment ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 82.6 คาดการณ์อยู่ที่ระดับ 82.6 ตัวจริงจริงออกมาที่ระดับ 84.9 ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ -ไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจ วิเคราะห์ทางเทคนิค Gold — ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ที่แล้ว จนสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,730 เหรียญได้ ทำให้สภาพทางเทคนิคโดยทั่วไปเริ่มเป็นสัญญาณบวก ราคายืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกเส้น และเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นเริ่มมีแนวโน้มที่จะตัดสูงขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว และกำลังฟอร์มตัวตัดกันเป็นลักษณะ Golden Cross อยู่ ถ้าในระยะ 1 — 2 วันนี้ราคาสามารถยืนเหนือระดับ 1,730 เหรียญได้ สภาวะจะเข้าสู่ลักษณะ Golden Cross และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างสมบูรณ์ โดยราคาทองคำยังเห็นการแกว่งตัวในการซื้อขายอย่างมากในคืนวันศุกร์ไปทำจุดสูงสุดประมาณ 1,738 เหรียญ และแกว่งตัวลดลงมาโดยยังเป็นลักษณะการขายทำกำไรในระยะสั้นๆ และปรับพอร์ท ในขณะที่แนวรับสำคัญของราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,720 เหรียญ แนวต้านของนักลงทุนระยะสั้นรายวันอยู่ที่ระดับ 1,738 เหรียญ แนวต้านรายสัปดาห์อยู่ที่ 1,750 เหรียญ โดยมีราคาเป้าหมายระยะยาวในช่วงเดือนธันวาคมอยู่ที่บริเวณ 1,800 เหรียญ Gold Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 25,300 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,480 บาท Gold Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 25,450 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,550 บาท Silver Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 990 บาท และแนวต้านที่ระดับ 1,030 บาท คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนเก็งกำไรรายวัน (Swing Trade) เก็งกำไรในภาวะการแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นในกรอบ 1,725 — 1,738 เหรียญ แนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวและขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน ให้ทำกำไรในระยะสั้นตามสภาพการแกว่งตัวของตลาด นักลงทุนระยะสั้น 7 — 20 วัน (Weekly Trade) เป็นการเข้าซื้อต่อเนื่อง เพิ่ม Portfolio เป็น 50% เริ่มซื้อเมื่อราคาย่อตัวบริเวณ 1,730 เหรียญ นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง ซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวเท่านั้น Portfolio อยู่ที่ 50% ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวบริเวณ 1,725 เหรียญ บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ