กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--ศธ.
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์เว็บไซด์อินไซด์ไทยกอฟ(www.insidethaigov.com) ถึงการเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนนโยบาย กองทุนตั้งตัวได้ ในต้นปี 2556ว่า กองทุนตั้งตัวได้ ที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงเอาไว้และเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการนั้นก็ได้ดำเนินการมาเป็นระยะๆ มีการเตรียมวงเงินที่จะเปิดโอกาสให้คนเข้ามากู้เงิน และเตรียมการจัดระบบต่างๆ ซึ่งขณะนี้เรื่องของระบบนั้นมีความพร้อมไปมากพอสมควร แล้วก็น่าที่จะทำให้ผู้ที่กำลังศึกษาก็ดีหรือผู้ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วน่าจะมากู้ยืมจากกองทุน ไปประกอบธุรกิจของตัวเอง ก็น่าจะที่เริ่มต้นได้ภายในต้นปี 2556 หรืออาจจะปลายปี 2555 ก็น่าจะเริ่มดำเนินการได้แล้ว
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า หลักการคือบัณทิตจบใหม่หลายคนมีความคิดที่จะประกอบกิจการของตัวเอง แต่ขาดแคลนเงินทุนและไม่สามารถไปหาเงินทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ ได้ เพราะบางคนอาจจะยังไม่มีประวัติทางการเงิน ที่จะไปหาเงินทุนจากสถาบันการเงินได้ รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมผู้ที่กำลังศึกษาหรือจบการศึกษาไปแล้ว แต่ว่ามีความคิด มีมุมมอง มีความสามารถที่จะไปผลิตสินค้าหรือบริการได้
“ซึ่งในการกู้ยืมนั้น ในสถาบันการศึกษาจะมีระบบที่บ่มเพาะธุรกิจก็จะช่วยอุ้มชูและประคับประครองการประกอบกิจการ และมีระบบสนับสนุนการดำเนินการทุกด้าน รวมไปถึงธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เข้ามาให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพราะมีความชำนาญเรื่องระบบของการให้สินเชื่อ และจะรู้ดีว่าการให้สินเชื่อนั้นจะมีระยะเวลาเท่าไร อย่างไร และมีขั้นตอนในการจ่ายเงินแต่ละระยะของการประกอบธุรกิจอย่างไร ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ใช่การโยนเงินก้อนใหญ่ลงไปให้แล้วปล่อยให้ดำเนินการเอง”นายพงศ์เทพ กล่าว
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการนั้นกลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาและจบการศึกษาแล้วไม่เกิน 5 ปี ซึ่งสามารถเข้ามาขอกู้ยืมเงินได้ ตามเจตนา คือต้องการผลิตผู้ประกอบการใหม่ เพราะผู้ประกอบการนั้นมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจ เพราละผู้ประกอบการนั้น 1.เป็นผู้สร้างงานให้คนอื่น 2.เป็นผู้สร้างรายได้ให้รัฐ เพราะเมื่อผู้ประกอบการมีรายได้ ก็เสียภาษีให้รัฐ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยก็เริ่มจากกิจการเล็กๆ เริ่มจากวิสาหกิจเล็กๆ ก่อน 1-2 คนตอนหลังก็กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็มีเป็นจำนวนมาก อย่างบริษัทฮุนได ของประเทศเกาหลี นั้นตอนแรกๆ ก็มีพนักงานไม่กี่คน แบบจำชื่อพนักงานได้ทั้งหมด จนวันนี้พนักงานของเขามีจำนวนนับแสนคน ซึ่งจุดตรงนี้เมื่อเราเริ่มสร้างผู้ประกอบการ เขาก็จะมีโอกาสขยายกิจการของเขา ซึ่งเป็นการสร้างงานจำนวนมหาศาล แล้วก็จะเป็นผู้สร้างรายได้ให้ประเทศไทย
“ตอนนี้ได้มีการเตรียมงบประมาณกันเอาไว้ก้อนหนึ่งก็ประมาณ 5 พันล้านบาท แล้วก็อีกก้อนหนึ่ง ซึ่งมีประมาณ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งเราจะต้องคัดเลือกว่าผู้ที่จะมาเข้าโครงการนี้อย่างรอบคอบ โดยจะต้องดูว่าสามารถประกอบการไปได้จนประสบความสำเร็จ จึงเชื่อว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นหลักพันคน และเข้าร่วมได้ทุกประเภทธุรกิจไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต หรือภาคบริการ หรือกลุ่มค้าขาย แผงลอยก็จะมีการพิจารณาให้ทั้งหมด โดยเฉพาะประเภทที่เราเรียกว่ากลุ่มแผงลอย ตลาดนัดนั้น เราจะเห็นว่าหลายคนสร้างธุรกิจของตัวเองจนใหญ่โตก็เริ่มจากแผงลอย ตลาดนัดทั้งสิ้น โดยตลอดเวลาก็จะมีการวัดผลโครงการจากการพิจารณาว่ามีผู้ที่มาเข้าโครงการใช้เงินกู้เท่าไร แล้วธุรกิจไปได้ดีขนาดไหน ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีการขยายตัวกันไปอย่างไร แล้วผู้ประกอบการใหม่เหล่านี้ไปสร้างงานเพิ่มขึ้นอย่างไร มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเท่าไรอย่างใกล้ชิดในทุกระยะ”นายพงศ์เทพ กล่าว