ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “แสนสิริ” ที่ “BBB” พร้อมแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Friday October 1, 2004 08:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ซึ่งสะท้อนถึงประสบการณ์ของคณะผู้บริหารและชื่อเสียงของบริษัทในตลาดอาคารชุดพักอาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนการขยายธุรกิจสู่ตลาดบ้านเดี่ยว ธุรกิจโรงแรม รวมทั้งธุรกิจบริหารโครงการและบริหารการขาย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนด้วยโครงสร้างทางการเงินของบริษัทที่มีสัดส่วนการใช้เงินกู้ค่อนข้างสูง และการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับหนี้ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable”หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะเป็นไปตามที่คาดไว้เมื่อพิจารณาจากการขายโครงการอาคารชุดพักอาศัยซึ่งคาดว่าจะสามารถบริหารการก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา และคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับ 1 เท่าได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแสนสิริก่อตั้งในปี 2527 โดยตระกูลจูตระกูลและตระกูลล่ำซำ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2547 บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 24.3% โดยสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ก่อตั้งคือตระกูลจูตระกูลและล่ำซำลดลงจาก 65% ในเดือนธันวาคม 2540 เหลือ 1.94% ในเดือนเมษายน 2547 อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมดังกล่าวซึ่งมีประสบการณ์และมีชื่อเสียงในตลาดอาคารชุดพักอาศัย (คอนโดมิเนียม) ยังคงมีบทบาทในการบริหารและกำหนดทิศทางของบริษัท และในปัจจุบัน บริษัท แนเชอรัล พาร์ค มิได้มีบทบาทในการบริหารงานของบริษัท ในช่วงก่อนวิกฤตการณ์การเงินในปี 2540 บริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าตลาดอาคารชุดพักอาศัยระดับกลางถึงบน ปัจจุบันบริษัทได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดบ้านเดี่ยวและโรงแรม โดยเริ่มเปิดโครงการบ้านเดี่ยวในเดือนพฤศจิกายน 2543 และลงทุนซื้อหุ้นทั้งหมดของโรงแรมโซฟีเทล สีลมในช่วงปลายปี 2545 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 รายได้ของบริษัทมาจากโครงการอาคารชุดพักอาศัย 45% และโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 37% ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทแสนสิริมีโครงการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย 21 โครงการ รวม 2,688 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าขาย 12,693 ล้านบาท โดยมีราคาขายระหว่าง 2-30 ล้านบาทต่อยูนิต ยอดขายจากโครงการอาคารชุดพักอาศัยถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ณ เดือนสิงหาคม 2547 บริษัทสามารถขายอาคารชุดพักอาศัยได้ 76% ของจำนวนทั้งหมด ทั้งนี้ ประสบการณ์ที่ยาวนานและชื่อเสียงในตลาดอาคารชุดพักอาศัยระดับกลางถึงบนมีส่วนช่วยให้บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย บริษัทมีโครงการบ้านเดี่ยว 6 โครงการ รวม 926 หลัง คิดเป็นมูลค่าขาย 13,846 ล้านบาท โดยได้เปิดขายโครงการบ้านนาราสิริ สาทร-วงแหวนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2546 ในขณะที่อีก 4 โครงการเปิดขายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2547 และบริษัทยังมีแผนเปิดขายโครงการบ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67 ในเดือนพฤศจิกายน 2547
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมและจากค่าเช่าอาคารพักอาศัยและอาคารสำนักงานอยู่ในระดับเดิมที่ 11% และ 3% ตามลำดับ ในขณะที่รายได้จากการบริหารโครงการและบริหารการขายลดลงจาก 5% ในปี 2546 เหลือ 3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 ถึงแม้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะสูงขึ้นมากจาก 53.8% ในปี 2545 เป็น 66.1% ในปี 2546 แต่อัตราส่วนดังกล่าวก็ลดลงเล็กน้อยเป็น 58.8% ณ เดือนมิถุนายน 2547 หลังจากบริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจำนวน 2,946 ล้านบาทในเดือนมีนาคม 2547 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทดีขึ้นจาก 10.8% และ 2.1% ในปี 2545 เป็น 20.9% และ 8.8% ในปี 2546 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 8.1% และ 0.7% (ยังไม่ได้ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ตามลำดับในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 เนื่องจากความต้องการซื้อบ้านที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2547
ในปี 2546 จำนวนที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้นถึง 49% เป็น 50,594 หน่วย ก่อนที่สิทธิพิเศษทางภาษีจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2546 การแข่งขันในตลาดบ้านจัดสรรและอาคารชุดพักอาศัยยังคงรุนแรงจากการที่ผู้ประกอบการเก่าหลายรายกลับมาดำเนินธุรกิจ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นล้วนมีผลกระทบในด้านลบต่อความต้องการซื้อบ้านและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับสัดส่วนการวางเงินดาวน์สำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปและความเข้มงวดในการรายงานการปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการของสถาบันการเงินจะช่วยลดภาวะการเก็งกำไรและลดอุปทานของบ้านในตลาดที่อยู่อาศัย ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ