“ดีแพค อินเตอร์ฯ” ตอกย้ำผู้นำด้านเทรดดิ้งบรรจุภัณฑ์พลาสติก มุ่งมั่นพัฒนาระบบโลจิสติกส์-ปักธงปีหน้าโต 1.3 พันล.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 26, 2012 12:03 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--เดอะ เวย์ คอมมิวนิเคชั่น ดีแพค อินเตอร์ฯ มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพบริษัทอย่างรอบด้าน ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านเทรดดิ้งบรรจุภัณฑ์พลาสติก ล่าสุดโชว์ความแกร่งติดอันดับ 1 ใน 3 บริษัทเอกชนที่ผ่านการคัดเลือกตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์อุตสาหกรรมในเขตภาคตะวันออก ส่งผลทำให้สามารถบริหารต้นทุนและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนภายในได้สูงเกือบ 28 ล้านบาทต่อปี ภายใต้ยอดขายเท่าเดิมที่ 1 -1.1 พันล้านบาทในปี 2555 ผู้บริหารเพิ่มเป้าหมายใช้ระบบเรียลไทม์ในไตรมาส 1 ปี 2556 พร้อมเผยภาพรวมธุรกิจขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ AEC มั่นใจปีหน้าโชว์ตัวเลขยอดขาย 1.3 พันล้านบาท นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีแพค อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ DPAC ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ ฟิล์ม และถุงพลาสติกชนิดอ่อนรายใหญ่ของประเทศ ภายใต้แบรนด์ HERO และ D เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 บริษัทฯ ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์อุตสาหกรรม โดยสำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) โดยการได้มาซึ่งรางวัลดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของบริษัทฯ ให้รอบด้าน ทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้า บุคลากร และโลจิสติกส์ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการเทรดดิ้งบรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศในอาเซียน นายเมธี อธิจิตสกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีแพค อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ DPAC กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ได้เข้าร่วมในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์อุตสาหกรรมในเขตภาคตะวันออก ซึ่งมีบริษัทฯ ผู้เข้าแข่งขันกว่า 26 บริษัท โดยตลอดระยะโครงการ 4 เดือน (มิถุนายน-กันยายน 2555) ทางโครงการจะส่งทีมคณะอาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโลจิสติกส์ เข้ามาประเมินการวางระบบโลจิสติกส์ของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อประเมินมาตรฐานและหาข้อควรปรับปรุงเพื่อนำมาสู่ขั้นตอนการพัฒนาระบบต่อไป สำหรับดีแพคฯ คณะอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำให้มีการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานระบบโลจิสติกส์ใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. มีสินค้า Slow Moving และ Dead Stock หรือการมีสต๊อกสินค้าเคลื่อนไหวช้าปริมาณสูงกว่า 19.6 ล้านบาท โดยปรับลดลงมากถึง 30% เหลือเพียง 6.55 ล้านบาท 2. Stock Accuracy ต่ำประมาณ 50% สามารถขยับขึ้นมาสูงถึง 98% 3.Purchasing Lead time นาน 52 วัน สามารถปรับลดลงเหลือเพียง 45 วัน “บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญว่าระบบโลจิสติกส์ที่ดีจะมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ สามารถควบคุมและปรับลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลอดของโครงการบริษัทจะมีทีมผู้บริหารระดับสูงได้เข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็นกับที่ปรึกษาโครงการอย่างสม่ำเสมอ และนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปรับปรุงพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จมาก โดยจบโครงการ 4 เดือน บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นถึง 27.55 ล้านบาทต่อปีภายใต้ยอดขายเท่าเดิมที่ 1,000-1,100 ล้านบาทในปี 2555 และสามารถติดอันดับผู้ได้รับเลือก 1 ใน 3 บริษัทของโครงการ” นายเมธีกล่าว อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงไม่หยุดความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องด้วยเป้าหมายการควบคุมระบบให้เป็นแบบเรียลไทม์มากยิ่งขึ้นโดยคาดว่าภายในไตรมาส 1 ปี 2556 จะสามารถเริ่มใช้ระบบเรียลไทม์ได้ ซึ่งมีทำให้การบริหารควบคุมเงินทุนได้ดียิ่งขึ้นอีก นายเมธี กล่าวปิดท้าย ว่า ในปีหน้า (ปี 2556) บริษัทฯ คาดการณ์ยอดขายมีโอกาสแตะระดับ 1,300 ล้านบาท ประเมินจากภาพรวมบริษัทฯ คงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งนอกเหนือจากการทำการตลาดในประเทศผ่านพันธมิตรทางการค้าอย่างบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ดีมากแล้ว การทำตลาดในต่างประเทศกลุ่ม AEC สามารถขยายตัวได้แข็งแกร่งเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา ที่เริ่มเข้าไปมีส่วนแบ่งการตลาดได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 1-2 ประเภท จากปัจจุบันที่มีกว่า 5-6 ประเภทแล้ว ทั้งนี้เพื่อสนองตอบไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ