กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--IR networ
ผู้บริหาร บมจ.ณุศาศิริ หรือ NUSA ลั่นถึงเวลาเทิร์นอะราวด์ หลังตะลุยเปิดโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง คอนเฟิร์มจากกำไรไตรมาส 3/55 ที่ขยายตัวถึง 145.55% ส่วน 9 เดือนโตก้าวกระโดด 101.01% จากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้เพิ่มขึ้น “วิษณุ เทพเจริญ” มองไกลถึงปีหน้าผลงานโดดเด้งยิ่งกว่านี้ เหตุมีโครงการที่จะรับรู้รายได้อีกเพียบ
นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานของ NUSA ว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ภายหลังจากประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3/2555 โชว์กำไรโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นแห่งการเทิร์นอะราวด์ของ NUSA แล้ว นอกจากนั้นยังมั่นใจว่าผลประกอบการยังจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2556 เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้ได้มีการเปิดโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2556
“น่าจะพูดได้อย่างเต็มปากว่าขณะนี้ถึงเวลาแห่งการเทิร์นอะราวด์ของบริษัทอย่างแท้จริง โดยผลงานที่โดดเด่นในรอบนี้เกิดจากสามารถขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้เพิ่มขึ้น และในอนาคตเชื่อมั่นว่า NUSA ยังคงจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2556 จะเป็นอีกปีที่น่าสนใจ เพราะคาดว่าจะมีการเติบโตที่น่าตื่นเต้นมาก เนื่องจากปลายปีนี้เราได้เปิดโครงการใหญ่ๆ ไปหลายโครงการซึ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวรายได้ในปีหน้า”
ในไตรมาส 3/2555 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 “ณุศาศิริ” สามารถทำกำไรสุทธิได้ 53.144 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 145.55% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21.642 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 73.410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.01% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิ 36.52 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากการทยอยเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย
ในเดือนตุลาคม 2555 กลุ่มณุศาศิริเตรียมซื้อที่ดินเนื้อที่รวมประมาณ 300 ไร่ บริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อพัฒนาเป็นโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม ขณะเดียวกันจะแบ่งส่วนหนึ่งประมาณร้อยกว่าไร่เพื่อทำโครงการสวนน้ำและพลาซ่า ชื่อโครงการ The Grand Kingdom ซึ่งจะมีรูปแบบของโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่งขัน โดยในโครงการจะมีพื้นที่พลาซ่าเพื่อให้เช่า แก่ร้านค้าปลีกสำหรับจำหน่ายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการในโครงการ ส่วนรายได้หลักของกิจการจะมาจากการจำหน่ายบัตรเพื่อใช้บริการสวนน้ำ อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงรายได้ค่าเช่าพื้นที่ในส่วนพลาซ่า โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท
และในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเพิ่งจะประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับ Villa Medica ศูนย์การแพทย์ทางเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์บำบัด เพื่อลงทุนในโครงการ My Ozone ซึ่งถือเป็นหมู่บ้านสุขภาพแห่งแรกของประเทศไทย บนเนื้อที่ 1,200 ไร่ ในเขตพื้นที่เขาใหญ่ ที่มีโอโซนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท เตรียมเปิดขายในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ โดยโครงการดังกล่าวจะมีทั้ง บ้านพักสไตล์ยุโรป โฮมมี่ ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาลและศูนย์ให้บริการทางการแพทย์ อย่าง Villa Medica รวมถึงการวางโครงข่าย 3G และ 4G เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้าน ท่ามกลางสภาพอากาศบริสุทธิ์ และสิ่งแวดล้อมที่ดี