กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--IR PLUS
“ดร.ชเนศวร์ แสงอารยะกุล” นายใหญ่ PYLON มั่นใจโค้งสุดท้ายของปีโชว์ผลงานโดดเด่น หลังงานเข้ามือชุก แถมทยอยรับรู้รายได้จากงานใหม่ที่มาร์จิ้นดีขึ้น ประกอบกับสารพัดปัญหาได้รับรู้ไปหมดแล้วในไตรมาสที่ 3 หนุนโค้งสุดท้ายเส้นทางเติบโตสดใส มั่นใจรักษาเป้ารายได้ 1,200 ลบ.ได้สำเร็จ
ดร.ชเนศวร์ แสงอารยะกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานรากชั้นนำในประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจรับเหมาฐานรากในไตรมาสสุดท้ายของปี 2555 ว่ามีทิศทางเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากงานรับเหมาก่อสร้าง และงานฐานรากประเภทเสาเข็มเจาะ ได้เข้าสู่ตลาดฯ อย่างต่อเนื่อง จากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีเขียว และงานทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ซึ่งจะเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2555 ถึงปี 2556 และในขณะเดียวกันงานอาคารสูงของภาคเอกชนก็ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ
“ไตรมาสสุดท้ายของปีเราจะได้เห็นงานรับเหมาคึกคักมากขึ้น รวมทั้งงานฐานราก ที่เริ่มไหลเข้าตลาดอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3 จะเห็นได้จากตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา PYLON ได้รับงานใหม่แล้วมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2555 เป็นต้นไป ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการในไตรมาสดังกล่าวมีทิศทางดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาที่ยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของโครงการต่างๆ ที่รอดูความชัดเจนของผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และความชัดเจนของราคาประเมินที่ดินใหม่ ดังนั้น ในปีนี้จึงยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท ตามที่เคยวางไว้” ดร.ชเนศวร์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2555 (กรกฎาคม-กันยายน) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างรวมอยู่ที่ 214.44 ล้านบาท มีต้นทุนจากการรับจ้าง 233.19 ล้านบาท (รวมสำรองขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างของบริษัทย่อย 39.35 ล้านบาท) มีค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหารรวม 13.16 ล้านบาท มีขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน12.86 ล้านบาท
สำหรับงวดเก้าเดือนแรกบริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างรวม 794.99 ล้านบาทมีต้นทุนจากการรับจ้าง 726.88 ล้านบาท (รวมสำรองขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างของบริษัทย่อย 42.66 ล้านบาท) มีค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร รวม 53.31 ล้านบาท (รวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทย่อยที่ตั้งเพิ่มขึ้นสำหรับบริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 18.2 ล้านบาท และการลดลงของค่าปรับงานล่าช้ารวม 6.73 ล้านบาท) ทำให้มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 29.97 ล้านบาท
"จะเห็นว่างบประจำไตรมาสที่3/2555 ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเกิดจากบริษัทลูกของ PYLON ซึ่งได้รับรู้ผลกระทบต่างๆ ไปหมดเรียบร้อยแล้วในไตรมาสนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่บริษัทลูกได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม หรือปัญหาราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปัญหานโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของภาครัฐ ซึ่งเป็นการบันทึกการขาดทุนทางบัญชีไว้ล่วงหน้าถึงแม้โครงการจะยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าวทำให้ PYLON ต้องบันทึกการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทลูกด้วย ดังนั้นเมื่อบันทึกผลขาดทุนจากบริษัทลูกไว้แล้ว จึงเชื่อว่าในไตรมาส 4/55 บริษัทฯ น่าจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/55 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ และงานอื่นๆ ที่ไหลเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง และมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างดี” ดร.ชเนศวร์ กล่าว