กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--IR PLUS
“สุรเดช บุณยวัฒน” ซีอีโอ พรีเมียร์ โพรดักส์ มั่นใจธุรกิจระบบบำบัดน้ำเสีย และวัสดุก่อสร้างนวัตกรรมใหม่อนาคตเติบโตโดดเด่น เหตุเป็นเทรนด์อนาคต แถมฝากฝีมือไว้ในตลาดจนลูกค้ายอมรับในวงกว้าง เชื่อยึดตำแหน่งเจ้าตลาดเหนียวแน่น เติบโตไม่ต่ำกว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมก่อสร้าง อีกทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน จะช่วยผลักดันยอดขายและกำไรโดดเด่นมั่นคงต่อเนื่องในอนาคต
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ (PPP) ผู้ประกอบธุรกิจ ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผยว่าบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม ให้เติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ และ กลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ และอีก 2 กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินการโดยบริษัทย่อย 2 แห่งได้แก่ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
“มั่นใจว่าธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มของพรีเมียร์ โพรดักส์ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ ตามเทรนด์การเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทนซึ่งถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่อยู่ ในความสนใจ ของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับ การดูแลโลกและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ธุรกิจบำบัดน้ำเสียของบริษัทฯ ถือเป็นผู้นำในตลาดระบบบำบัดน้ำเสียแบบสำเร็จรูปที่ใช้ในอาคาร เช่นเดียวกับธุรกิจผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม ปัจจุบันถือเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว และผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กลาสเสริมแรง ส่วนธุรกิจในกลุ่มพลังงานทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์ และธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานกำลังเติบโตในทิศทางที่ดี โดยคาดว่าจะเห็นการขยายตัวชัดเจนตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป” นายสุรเดช กล่าว
นายสุรเดช กล่าวต่อถึงทิศทางการเติบโตของ 2 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมว่า ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ถือเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบันและมีทิศทางการเติบโตที่โดดเด่นและชัดเจน โดยในกลุ่มธุรกิจระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ เชื่อว่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ ที่บริษัทฯ จัดจำหน่ายได้รับการยอมรับจากลูกค้าเจ้าของโครงการ และกลุ่มสถาปนิกในวงกว้าง ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วไปพร้อม ๆ กับโครงการก่อสร้างดังกล่าว
“ระบบบำบัดน้ำเสียของเราเป็นระบบสำเร็จรูปที่ใช้ในอาคารทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ซึ่งปัจจุบัน ได้รับความนิยมให้ติดตั้งทั้งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย และโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ทิศทางการเติบโตที่ผ่านมาอยู่ในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัย หรือ อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากปัจจุบันโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จะหันมาใช้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบสำเร็จรูปมากกว่าระบบคอนกรีตซึ่งเป็นระบบแบบเดิมเนื่องจากในอนาคตจะเป็นไปได้ถึงการนำน้ำเสียที่บำบัดกลับมาใช้ใหม่ได้ จึงสนับสนุนให้มีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น”
นายสุรเดช กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพรีเมียร์ โพรดักส์ ถือเป็นผู้นำในตลาดระบบบำบัดน้ำเสียแบบสำเร็จรูปที่ใช้ในอาคาร เนื่องจากปัจจัยแรกคือเข้าสู่ตลาดนี้ก่อน ทำให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จนได้รับเลือก ให้เป็นผู้ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียในอาคารขนาดใหญ่ชั้นนำมากมาย ปัจจัยที่ 2 มีทีมงานวิศวกรเป็น ของตัวเอง รวมทั้งมีการทำวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้า ของโครงการและวิศวกรผู้ออกแบบและผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีคุณภาพเหนือกว่าคู่แข่งในท้องตลาด ปัจจัยที่ 3 สินค้าของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในด้านคุณภาพที่เป็นเลิศ และการบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม
ทั้งนี้โครงการที่ใช้ระบบบำบัดน้ำเสียของบริษัทฯ ที่ผ่านมา ได้แก่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ธนาคาร กรุงไทยสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สนามกีฬาบางกอกฟุตซอล อารีน่า รวมทั้ง สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงค์ มักกะสัน แลอาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่มากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าในตลาดในวงกว้าง
ส่วนธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม ปัจจุบันพรีเมียร์ โพรดักส์ ถือเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว และผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กลาสเสริมแรง ส่งผล ให้การเติบโตมีทิศทางชัดเจนเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีผู้ประกอบการน้อยราย ประกอบกับ บริษัทฯ มีจุดแข็งเหนือคู่แข่งที่มีเทคโนโลยีเป็นที่ยอมรับ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้เป็นอย่างดี และประการสำคัญคุณภาพของสินค้าและบริการหลังการขายของบริษัทฯ เป็นที่ยอมรับจากเจ้าของโครงการและกลุ่มสถาปนิกในวงกว้าง อีกทั้งยังมีกำลังการผลิตที่สามารถรองรับโครงการที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างคล่องตัวอีกด้วย
สำหรับโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว (Glass Reinforced Cement: GRC) เช่น แผ่นผนัง GRC ผนังกั้นเสียง ปูนปั้นลายประดับ ของบริษัทฯ ที่ผ่านมา ได้แก่ การทำผนังกันเสียงให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีแดง สะพานพระราม 8 สะพานพระราม 4 ถนนรามคำแหง และอื่นๆ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์หลังคาและผนังเหล็กขึ้นรูป เช่น หลังคาเหล็กตามอาคารก่อสร้างต่าง ๆ ผลงานที่ผ่านมาของบริษัทฯ คือ หลังคาศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คลังเก็บสินค้าของ บมจ. ท่าอากาศไทย ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เป็นต้น
“การได้รับการยอมรับจากเจ้าของโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มธุรกิจบำบัดน้ำ และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าเทคโนโลยีระดับสูง สะท้อนให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการยอมรับจากตลาดเป็นอย่างดี ดังนั้น การเติบโตของธุรกิจจึงน่าจะอยู่ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าการเติบโตของทั้งอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมก่อสร้างดังกล่าว
นอกจากนี้ ธุรกิจของบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ ธุรกิจด้านไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) โดยจัดอยู่ในประเภทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก (Very Small Power Producer หรือ “VSPP”) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด มีทั้งหมด 3 แห่ง อยู่ในจังหวัดสระบุรี โดยโครงการแห่งที่ 1 ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ 27 ธันวาคม 2553 มีกำลังการผลิต 5.86 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการที่ 2 และ 3 อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้า มีกำลังการผลิต 5.75 และ 5.74 เมกะวัตต์ ตามลำดับ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ภายในเดือนมกราคม 2556 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และผลกำไรจากธุรกิจดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ในปี 2556 ในขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทประหยัดพลังงานดำเนินการโดยบริษัท พรีเมียร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด (PHA) จะสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องเช่นกัน จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์หลักเดิมและการนำผลิตภัณฑ์ประเภทประหยัดพลังงานเสริมทัพเพิ่มเติม โดยใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของ PHA ผ่านร้านค้ากว่า 500 แห่งทั่วประเทศ
บมจ.พรีเมียร์ โพรดักส์ ผลประกอบการประจำงวด 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2555) มีรายได้รวมเท่ากับ 650.33 ล้านบาท เป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมร้อยละ 51.19 กลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมร้อยละ 33.20 ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานร้อยละ 14.71 รายได้อื่นๆ ร้อยละ 0.90 และมีกำไรสุทธิ 32.55 ล้านบาท ในขณะที่ในปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 916.15 ล้าน มีกำไรสุทธิ 36.73 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปี 2555 เพียงครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถกำไรได้เกือบเท่ากับปี 2554 ทั้งปี ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเติบโตที่โดดเด่นได้อย่างชัดเจน
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 217.50 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือ 82.50 ล้านหุ้น จะเสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยได้ยื่นขอเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้วโดยในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ สำนักงาน ก.ล.ต.
ข้อมูลบริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน)
บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจ 4 กลุ่ม โดยมี 2 ธุรกิจหลักดำเนินการ ภายใต้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯถือเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ ในขณะที่อีก 2 กลุ่มธุรกิจดำเนินการโดยบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท พรีเมียร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด (PHA) และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) ซึ่งธุรกิจทั้งหมดเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทนซึ่งถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่อยู่ในความสนใจของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลโลกและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น