กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--IRPLUS
บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แล้ว 27 พฤศจิกายนนี้ หลังระดมทุน 300 ล้านบาท ผู้บริหารมั่นใจหุ้นน้องใหม่ได้รับการตอบรับอบอุ่น หลังโชว์ผลงานงวด 9 เดือนยอดเยี่ยม กำไรพุ่ง 60.99% ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุน
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (มหาชน) (JMT) ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้กำหนดให้หุ้นของ JMT เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 นี้โดย JMT เป็นบริษัทย่อยของบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ที่เล็งเห็นประโยชน์ในการนำบริษัทย่อย เข้าจดทะเบียน (Spin off) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รองรับการขยายตัวทางธุรกิจของ JMT และเพื่อเปิดทางให้นักลงทุนทั่วไปได้มีโอกาสเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ ได้โดยตรง
ปัจจุบัน JMT ดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริษัทให้บริการแก่ผู้ว่าจ้างที่เป็นสถาบันการเงิน และผู้ประกอบการต่าง ๆ ซึ่งประสงค์จะให้บริษัทฯ ติดตามและดำเนินการให้ลูกหนี้ของผู้ว่าจ้างชำระคืนหนี้ ขอบเขตการให้บริการ ครอบคลุมถึงการรับจ้างติดตามและจัดเก็บหนี้ รวมถึงงานด้านกฎหมาย ได้แก่ ฟ้องและสืบทรัพย์คดี 2. ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงิน หรือบริษัทต่าง ๆ และนำมาบริหารจัดเก็บหนี้ และ 3.ธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์โดยเน้นให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะและเน้นปล่อยสินเชื่อให้แก่บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ JMT มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้วทั้ง 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมจำนวน 225 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 75 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิมของJMART จำนวนไม่เกิน 45 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2555 และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่น้อยกว่า 30 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2555 ในราคาหุ้นละ 4 บาท รวมมูลค่าระดมทุนจำนวน300 ล้านบาท โดยมี บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการ จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
สำหรับการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นไปใช้ซื้อพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันที่บริษัทฯ มีพอร์ตหนี้ ด้อยคุณภาพบริหารจัดการอยู่แล้วประมาณ 20,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายจะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารจัดการเพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และ คาดว่าในการเข้าซื้อขายวันแรกหุ้นของบริษัทฯ จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนักลงทุน
ทั้งนี้ JMT รายงานผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 3/2555 (กรกฎาคม-กันยายน) ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน 28.21 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน18.10 ล้านเพิ่มขึ้น 10.11 ล้านบาท หรืออัตราร้อยละ 55.81ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนโดยในไตรมาส 3 ปี 2555 มีรายได้เท่ากับ 102.31 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้เท่ากับ 82.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ในอัตราร้อยละ 23.36 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจาก รายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่ซื้อ เพิ่มขึ้น 19.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 37.02 จากการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มมากขึ้น และรายได้ดอกผลตามสัญญาเช่าซื้อ เพิ่มขึ้น 2.14 ล้านบาท จากการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในไตรมาสนี้บริษัทฯ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร สำหรับไตรมาส 3 ปี 2555 เท่ากับ 14.27 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งเท่ากับ 8.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 64.22 แต่ยังสามารถบริหารจัดการให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27.17 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 51.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.92 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 จนสะท้อนให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นดังกล่าว และสนับสนุนให้ผลประกอบการงวด 9 เดือน(มกราคม-กันยายน 2555) บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 78.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.87 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 60.99 จากกำไรสุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 48.97 ล้านบาท โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ