กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--มศว.
ปตท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระดม นักวิชาการ พร้อมผู้แทนองค์กรเศรษฐกิจพลังงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง จัดเสวนานโยบายเศรษฐกิจพลังงานส่งท้ายปี ชูประเด็นวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจพลังงานของประเทศไทย หลังเข้าประชาคมอาเชียน AEC จะยังคงสถานการณ์พลังงานยังไม่เพียงพอต่อไป เนื่องด้วยความต้องการพลังงานในประเทศมีเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าต่อไป วอนภาครัฐเตรียมรับมือปรับนโยบายพลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่การแข่งขันสูงขึ้น พร้อมชวนภาคประชาชนร่วมมือกันใช้พลังงานอย่างประหยัดและรู้คุณค่า
ดร.คุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงานเสวนานโยบายเศรษฐกิจพลังงาน โดยกล่าวว่า การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมพลังงานและประชาชนคนไทยเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเข้า สู่ประชาคมอาเซียน AEC นั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเร่งทำความเข้าใจ สร้างองค์ความรู้ พร้อมปลูกฝังแนวคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมในการบริโภคพลังงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ทั้งในด้านของอุตสาหกรรมพลังงานที่จะต้องแสวงหาแหล่งพลังงานที่ใหม่ๆ การหาพลังงานทดแทน ตลอดจนหาพลังงานประยุกต์จากประเภทอื่นๆ ในขณะที่ภาคประชาชนที่เป็นผู้บริโภคพลังงานก็ต้องรู้จักประหยัด และ ใช้พลังงานให้คุ้มค่า เพื่อให้ประเทศเราสามารถแข่งขันและลดช่องว่างในทางเศรษฐกิจจากประเทศคู่แข่งอื่นๆในประชาคมอาเซียนได้
ดร.พิชญ์ นิตย์เสมอ รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง, คุณหิน นววงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรร, รศ.ดร. ชโยดม สรรพศรี นักวิชาการ, เปิดเผยว่า ในปี 2558 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) โดยการเปิดเสรีภายใต้ AEC จะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ ตลอดจนทุนและแรงงานได้อย่างเสรีมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม แต่ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างประเทศสมาชิกในอาเซียน เพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพลังงาน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิที่สูงเป็นอันดับสองของภูมิภาครองจากประเทศสิงคโปร์ โดยมีปริมาณการนำเข้าพลังงานขั้นต้น สูงถึง 1.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน และมีสัดส่วนการบริโภคพลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศอื่น เมื่อเทียบกับรายได้ ตลอดจนการดำเนินนโยบายอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศของรัฐบาลที่มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ทั้งนี้หากการอุดหนุนราคาพลังงานในระดับต่ำยังดำเนินอยู่ก็เท่ากับว่าการอุดหนุนนั้นจะแปรสภาพจากการอุดหนุนแก่ประชากรไทย 60 ล้านคน เป็นการอุดหนุนแก่ประชากรอาเซียนทั้ง 600 ล้านคน ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่รวดเร็วกว่าเดิมได้ในอนาคต
ขณะที่ภาครัฐได้ดำเนินนโยบายแผนด้านพลังงาน ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 โดยดันยุทธศาสตร์ แผนจัดหาพลังงานเพื่อความมั่นคงฯ ภายใน 15 ปี, แผนส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด, แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ และ แผนส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาฯ ในขณะที่ภาพรวมราคาน้ำมันดิบและเชื้อเพลิงเหลวมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับประเทศไทยมีแนวโน้มการใช้พลังงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานรวมกันสูงถึงกว่าร้อยละ 70 และภาคส่วนอื่นๆ รวมกันอีกประมาณร้อยละ 30 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายทั้งประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้นำเข้าพลังงานชนิดต่างๆ ทั้ง ไฟฟ้า, ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ, น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ เพื่อรองรับการใช้งานภายในประเทศ
จากการคาดการณ์ดังกล่าวนี้ ทางนักวิชาการพลังงานจึงเล็งเห็นว่าแนวโน้มสถานการณ์พลังงานและผลกระทบต่อภาคธุรกิจหลังการเข้าสู่ AEC นั้น ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยจะมาจากปัญหาการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้พลังงานที่เป็นปัจจัยสำคัญด้านการผลิตของภาคอุตสาหกรรมจะถูกนำมาใช้เป็นตัวแปรในการแข่งขัน ดังนั้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องวางแนวทางการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่เหมาะสมเพื่อรองรับการเข้าสู่ AEC ในอนาคต พร้อมทั้งต้องเร่งบริหารจัดการพลังงาน (Demand Side Management) เพื่อการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยอาจจะต้องนำร่องนโยบายเร่งด่วนในการสนับสนุนพลังงานทดแทน หรือ พลังงานทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อรองรับการขาดแคลนพลังงานหลักในอนาคต ตลอดจนเตรียมมาตรการรับมือและแนวทางการเตรียมความพร้อมต่อ AEC ของภาครัฐและเอกชนต่อไป