กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--IRPLUS
JMTมั่นใจโค้งสุดท้ายของปี ยังโชว์ผลงานสุดแจ่ม จากธุรกิจบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ ธุรกิจติดตามเร่งรัดหนี้ และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง “ปิยะ พงษ์อัชฌา”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหลังเชื่อผลงานปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 20 %
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2555ว่า ยังมีทิศทางทางเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2555และไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสก่อนหน้าอย่างชัดเจน
“มั่นใจว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี JMT ยังเติบโตได้ดีเช่นเดียวกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งกลุ่มธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ที่บริษัทฯ ได้ซื้อพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ธุรกิจเร่งรัดติดตามหนี้สิน ที่ยังสามารถจัดเก็บหนี้ได้ดี และธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองที่พอร์ตสินเชื่อได้ขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตราว 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนคงทำได้สำเร็จ ในขณะที่กำไรสุทธิก็มีโอกาสทำได้ดีเช่นเดียวกับปีก่อน โดยในปี 2554 มีรายได้รวม 323.53 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 66.39 ล้านบาท”
นายปิยะกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน JMT มุ่งขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในธุรกิจบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ อยู่ระหว่างทยอยซื้อมูลหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้ถึงเกือบร้อยละ 80 ของรายได้รวม โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตหนนี้บริหารอยู่แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 20 ของรายได้รวม มีมูลหนี้ที่ต้องติดตามอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และจะยังคงรักษาให้อยู่ในระดับดังกล่าวต่อไป ส่วนธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีพอร์ตสินเชื่อประมาณ 100 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ปล่อยสินเชื่อแล้วประมาณ 85 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจนี้มีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 1 ของรายได้รวมเท่านั้น แต่บริษัทฯ มีเป้าหมายจะขยายพอร์ตสินเชื่อให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 300 ล้านบาทในปี 2556 ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตไปในทิศทางเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ JMT รายงานผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 3/2555 (กรกฎาคม - กันยายน) ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน 28.21 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน18.10 ล้านเพิ่มขึ้น 10.11 ล้านบาท หรืออัตราร้อยละ 55.81 ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนโดยในไตรมาส 3 ปี 2555 มีรายได้เท่ากับ 102.31 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้เท่ากับ 82.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ในอัตราร้อยละ 23.36 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจาก รายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่ซื้อ เพิ่มขึ้น 19.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 37.02 จากการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มมากขึ้น และรายได้ดอกผลตามสัญญาเช่าซื้อ เพิ่มขึ้น 2.14 ล้านบาท จากการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น