กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--บีโอไอ
รัฐมนตรีอุตสาหกรรมแนะผู้ประกอบการไทยรับโอกาสตลาดเออีซี เร่งปรับตัวเข้าสู่การแข่งขัน ชี้นักธุรกิจหาพันธมิตรเข้าไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านช่วยลดความเสี่ยง ด้านบีโอไอ เปิดตัวศูนย์ข้อมูลหนุนธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมให้ข้อมูลลงทุนครบวงจรหนุนผู้ประกอบการไทยก่อนไปลงทุนต่างประเทศ
นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานสัมมนา “รุกหรือรับ โอกาสสำหรับธุรกิจไทยในอาเซียน” และการเปิดตัวศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ว่า การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปลายปี 2558 เป็นโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการไทยในการเข้าสู่การเปิดเสรีทางการค้า การลงทุน การเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีฝีมือ และการสร้างมาตรฐานสินค้าร่วมกันของกลุ่มประเทศในอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกัน 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมโลก (จีดีพีโลก)
โดยผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้สร้างการเชื่อมโยง และจัดหาวัตถุดิบอุตสาหกรรมเพื่อรองรับภาคการผลิตของไทยที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ป้องกันปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมประมง อุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพของไทยได้เข้าไปลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างเสรี ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดที่ไม่ใหญ่มาก สามารถสร้างเครือข่าย พันธมิตร หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นไปพร้อมกันด้วย โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจถึงศักยภาพในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง การเร่งเสริมสร้างองค์ความรู้ในแต่ละตลาดในอาเซียน รวมถึงการเร่งฝึกฝนภาษาอังกฤษและภาษาประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อช่วยสนับสนุนให้การทำธุรกิจเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น
“ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเตรียมพร้อมรับการเข้าสู่เออีซี ทั้งในด้านของหาคำตอบด้วยตนเอง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อมให้บริการดังกล่าว ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบให้ บีโอไอ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศ ขึ้น ซึ่งจะเป็นหน่วยงานสำหรับช่วยผู้ประกอบการด้วยข้อมูลที่หลากหลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ ต้นทุนในการทำธุรกิจในประเทศอาเซียน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดให้มีที่ปรึกษาการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญของแต่ละประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ” นายประเสริฐ กล่าว
ด้านนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวว่า ที่ผ่านมา บีโอไอได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างโอกาสและส่งเสริมนักลงทุนไทยให้มีศักยภาพในการขยายธุรกิจของตนเองไปยังต่างประเทศมากขึ้น และพบว่านักลงทุนไทยยังขาดข้อมูลเชิงลึกของประเทศเป้าหมาย ที่เป็นแหล่งรองรับการลงทุน รวมทั้งสามารถเข้าไม่ถึงแหล่งข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ
บีโอไอจึงจัดตั้งศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเชิงลึกและเป็นปัจจุบัน รวมถึงโอกาสและช่องทางการลงทุนในประเทศเป้าหมาย และการให้บริการคำปรึกษาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจไทยที่มีความสนใจขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ
โดยสำนักงานของศูนย์ข้อมูลจะตั้งอยู่ที่ชั้น 5 อาคารบีโอไอ ถนนวิภาวดีรังสิต เปิดให้บริการทั้งด้านข้อมูล และบริการคลินิกการลงทุน ซึ่งการให้บริการด้านข้อมูลจะครอบคลุมข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศเป้าหมาย ตลอดจนอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ และลู่ทางการลงทุนพร้อมรายละเอียด อาทิ ต้นทุนในการทำธุรกิจ และขั้นตอนการทำธุรกิจในประเทศเป้าหมาย
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลยังจะติดตามและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้ประกอบการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน กฎหมาย สังคม และด้านอื่นๆ ในกลุ่มประเทศดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งจะรวบรวมรายชื่อผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เปิดดำเนินการอยู่ในประเทศเป้าหมาย เพื่อเป็นข้อมูลในการเข้าสู่ตลาดและการหาความร่วมมือทางธุรกิจ
นายอุดมกล่าวด้วยว่า ศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศ ยังเปิดให้บริการด้านคลินิกการลงทุน โดยจะจัดผู้เชี่ยวชาญรายประเทศผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมานั่งประจำที่ศูนย์เพื่อให้บริการข้อมูลเชิงลึกและให้คำปรึกษาด้านการลงทุน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 0 2553 8111 ต่อ 6177 หรือ 6285