ไทยกำหนดยุทธศาสตร์โครงการน้ำเทิน 2 หวังพัฒนาเพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านพลังงาน และสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้เกิดขึ้น

ข่าวทั่วไป Friday October 15, 2004 14:17 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 ต.ค.--สนพ.
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน 2 ว่า ภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้มีส่วนได้เสียโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน 2 จำนวน 5 ครั้ง ซึ่งครั้งหลังสุดประชุม ณ เมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ธนาคารโลกจะนำผลการประชุมทั้งหมด ไปพิจารณาเพื่อตัดสินใจการค้ำประกันเงินกู้ให้กับโครงการ ซึ่งจะทราบผลภายในไม่เกินสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ สำหรับโครงการน้ำเทิน 2 ขณะนี้ได้รับการสนับสนุนเพื่อให้โครงการเกิดขึ้น ทั้งจากชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการ รวมถึงรัฐบาล สปป.ลาว เนื่องจากเห็นว่าจะช่วยสร้างอาชีพ สร้างงาน และรายได้ ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็มีรายได้มาใช้ในการพัฒนาประเทศ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะช่วยยกระดับประชาชนในประเทศ รวมทั้งด้านพลังงาน ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของ สปป.ลาว ที่ให้ความสำคัญ เพราะช่วยในการเพิ่มอัตราการเติบโตของประเทศและขจัดความยากจน นอกจากนี้โครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IFIs)
สำหรับวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เพื่อขายไฟฟ้าให้กับไทยร้อยละ 95 หรือ 920 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตทั้งหมด 1,080 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าต้องใช้งบลงทุนประมาณ 1,185 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับ สปป.ลาว ประมาณ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐตลอดอายุสัญญา 25 ปี
นายวีระพล กล่าวต่อว่า โครงการนี้มีกำหนดการจ่ายไฟเข้าระบบให้ กฟผ. ภายในปี 2552 อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุสัญญาที่ระดับ 1.64 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าที่ กฟผ. ต้องผลิตเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า และเพิ่มปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นการผลักดันยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานให้เกิดขึ้นด้วย
อนึ่ง โครงการน้ำเทิน 2 ตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือของที่ราบสูงนากายในแขวงคำม่วน ห่างจากกรุงเวียงจันทน์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 250 กิโลเมตร เป็นการร่วมทุนระหว่าง รัฐบาล สปป.ลาว จำนวน 25% Electricite de France International จำนวน 35% บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) จำนวน 25% และบริษัท อิตาเลียน-ไทย จำกัด จำนวน 15%--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ