สรุปราคาซื้อขายทองคำและ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 09.00 น.

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 13, 2012 10:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ธ.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,710 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,715 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 30.63 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 24,750 บาท กับ 24,850 บาท และกลับมาปิดที่ 24,800 บาท กับ 24,900 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท อยู่ที่ 2,550 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 7,119 คู่สัญญา และ Silver Futures อยู่ที่ 153 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท ลดลง 0.02% แบบ 10 บาท ลดลง 0.07% Silver Futures เพิ่มขึ้น 11% GFZ12 ปิด 25,050 บาท และ GFG12 ปิด 25,200 บาท GF10Z12 ปิดที่ 25,040 บาท GF10G12 ปิดที่ 25,200 บาท SVZ12ปิดที่ 1,022 บาท สัญญา Comex ปิดเพิ่มขึ้น 8.3 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,717.9 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดเพิ่มขึ้น 76.5 เซนต์ ปิดที่ระดับ 33.78 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 1,351.42 ตัน (เท่าเดิม) น้ำมัน NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 98เซนต์ ปิดที่ระดับ 86.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ปิดดลง 2.99 จุด ปิดที่ 13,245.45 จุด Ratio Gold / Silver เท่ากับ 51 ต่อ 1 ข่าวที่สำคัญ ที่มา : TheBullionDesk, Reuters, Infoquest และ CNBC ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0 - 0.25 % ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ นอกจากนี้ เฟดประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 4 (QE4) โดยระบุว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรอบใหม่ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นพิเศษจนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่าระดับ 6.5% โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและการสร้างงาน ทั้งนี้ การเข้าซื้อพันธบัตรรอบใหม่ดังกล่าวจะมาแทนที่มาตรการ Operation Twist ที่จะหมดอายุในสิ้นเดือนนี้ ราคาทองคำได้รับแรงสนับสนุนหลังจากที่สมาชิกเฟดได้ปรับทบทวนการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้าที่ 2.3 — 3% ลดลงจากการคาดการณ์เดือนกันยายนที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตเป็นอย่างน้อย 2.5% รวมไปถึงการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีหน้าก็ลดลงเช่นกัน และเฟดยังได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ตราบเท่าที่อัตราเงินเฟ้อถูกกำหนดให้ไม่เกินกว่า 2.5% ภายใน 1 — 2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ต่างกล่าวว่า สิ่งที่น่าให้ความสนใจมากที่สุดสำหรับเฟดในตอนนี้ก็คือการสร้างงานมากกว่าการรักษาระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ แต่ ถึงอย่างนั้น นักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้คาดหวังให้มีการฟื้นตัวของการจ้างงานในระดับที่รวดเร็ว ที่จะทำให้อัตราการว่างงานลดลงไปสู่ระดับเป้าหมายที่เฟดกำหนดที่ 6.5% โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้ประกาศว่าอัตราการว่างงานของสหรัฐปรับตัวลดลงไปสู่ระดับต่ำ สุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ 7.7% เนื่องจากกลุ่มบริษัทต่างๆ ยังคงดำเนินงานอย่างช้าๆ แต่มีการจ้างงานในระดับคงที่ในเดือนพฤศจิกายน นักวิเคราะห์ต่างกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นผลบวกในทิศทางขาขึ้นต่อราคาทองคำเนื่องจากเป็นการชี้ให้เห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงพิมพ์ธนบัตรใหม่ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งนักลงทุนหลายรายมีการเข้าซื้อทองคำเพื่อ hedging กับภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจจากการพิมพ์ธนบัตรจากธนาคารกลางต่างๆ นอกจากนี้ แถลงการณ์ของเฟดยังระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังคงขยายตัวปานกลางในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แม้สหรัฐได้เผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้าย อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูงมาก คือ 7.7% จากเกณฑ์ของการจ้างงานเต็มที่ที่ควรจะอยู่ระดับ 5.2% - 6% และมีผู้ทำงานเพิ่มขึ้นเพียง 146,000 คนในเดือน พ.ย. ยังคงต่ำกว่าระดับเฉลี่ยต่อเดือน 151,000 คนในปีนี้ และ 153,000 คนในปี 2011 ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงขยายตัว ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยก็ส่งสัญญาณการฟื้นตัวเช่นกัน อีกทั้งการส่งออกยังชะลอตัวเนื่องจากการหดตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความเสี่ยงด้านการตัดลดงบประมาณในปีหน้า ทำให้บริษัทต่างๆจำกัดการใช้จ่ายเงินทุน ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรยังคงชะลอตัวลงเช่นกัน สำหรับการแถลงของนายเบอร์นันเก้ได้กล่าวว่า Fiscal Cliff เป็นความเสี่ยงหลักที่พร้อมจะส่งผลเสียต่อการลงทุนและการจ้างงาน โดยสร้างความไม่แน่นอนและมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจ และเฟดไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถขจัดผลกระทบจาก Fiscal Cliff ได้ อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ นายเจฟฟรี่ย์ แลคเกอร์ได้คัดค้านนโยบายการเข้าซื้อพันธบัตรรอบใหม่ของเฟดในครั้งนี้ และก่อนหน้านี้เขาได้ต่อต้านการขยายระยะเวลาของมาตรการ Operation Twist ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ไปจนถึงสิ้นปีของเฟดด้วย เพราะเขาคิดว่าการซื้อพันธบัตรเพิ่มไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น ข่าวทางด้าน Fiscal Cliff กลุ่มคนส่วนใหญ่ของสหรัฐต้องการให้ทั้ง 2 พรรคบรรลุข้อตกลงที่จะแก้ปัญหา Fiscal Cliff และสนับสนุนแนวคิดของนายโอบามา ซึ่งจากผลสำรวจทางโทรศัพท์จำนวน 1,000 คนเมื่อวันที่ 6-9 ธ.ค. มี 65% ต่อ 28% ต้องการให้มีการบรรลุข้อตกลง แม้ว่าจะมีการเพิ่มภาษีและการตัดลดสวัสดิการสังคมและประกันสุขภาพ โดย 68% กล่าวว่า นายโอบามามีอำนาจจากการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. ที่จะตัดลดอัตราภาษีในครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 250,000 ดอลลาร์ต่อปีและ 65% กล่าวว่าเขามีอำนาจในการเพิ่มภาษีในผู้มีรายได้สูงและการตัดลดงบประมาณ ซึ่งผลสำรวจได้แสดงถึงคะแนนนิยมที่ยืนยันการทำงานของโอบามา ซึ่งไม่เคยอยู่เหนือระดับมากกว่า 50% ในช่วงต้นปีนี้ แต่อยู่ที่ระดับ 53% ในขณะนี้ การเจรจา Fiscal Cliff มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย จากการที่พรรครีพลับลิกันได้ตำหนิการบริหารงานของนายโอบามาและสมาชิกคนหนึ่งกล่าวว่า การบริหารงานนี้ทำให้แย่ลงและไม่มีอะไรดีขึ้นเลย โดยนายอิริค แคนเตอร์ ผู้นำพรรครีพลับลิกันได้ตำหนินายโอบามาอย่างแรงว่าให้หยุดเล่นเกมทางการเมืองกัน และได้เสนอข้อเสนอในการตัดลดงบประมาณในโครงการสวัสดิการต่างๆ แต่ผู้นำพรรคเดโมแครต นายแนนซี่ เพโลซี่ได้เตือนพรรครีพลับลิกันว่า จะไม่มีการเพิ่มอายุของผู้รับประกันสุขภาพเป็นอายุ 67 ปีตามที่พรรครีพลับลิกันได้เสนอ นอกจากนี้นายจอห์น โบห์นเนอร์ยังได้กล่าวหานายโอบามาที่ไม่ได้นำเสนอแผนตัดลดงบประมาณอีกด้วย ส่วนทางด้านฝั่งยุโรป อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี นายซิลวิโอ้ แบร์ลุสโคนี่ส่งสัญญาณว่า เขาอาจจะยินยอมหากนายมาริโอ มอนติตกลงที่จะเป็นตัวแทนในการเลือกตั้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสมระดับกลาง โดยการประกาศของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่พรรคของเขาได้ถอนการสนับสนุนรัฐบาลของนายมอนติ และกล่าวหาว่านโยบายที่ยึดมั่นตามเยอรมัน (German-centric) ของนายมอนติทำให้อิตาลีมีเศรษฐกิจที่แย่ลง ขณะที่รัฐมนตรีการคลังของเยอรมนี นายโวล์ฟกัง ชอยเบิลได้ออกมาตอบโต้ว่า ในการเลือกตั้งของอิตาลี เยอรมันจะไม่เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายใน แต่เป็นที่ทราบกันทุกคนว่าอิตาลีได้มีคืบหน้าอย่างมากภายใต้การบริหารของนายมอนติที่ไม่ได้ด้อยกว่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนๆ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวได้กระตุ้นให้นายมอนติมีความพร้อมในการประกาศแผนที่จะลาออกจากตำแหน่ง เช้านี้ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สปรับตัวลดลงรุนแรงมากกว่า 1% หลุดระดับ 1,700 เหรียญจากการทำ Stop-loss selling หลังจากที่ราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบเกือบสองสัปดาห์เมื่อคืนนี้จากแผนการเข้าซื้อพันธบัตรรอบใหม่ของเฟด ตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อคืน - Crude Oil Inventories ออกมาที่ระดับ 0.8M จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -2.4M - Federal Budget Balance ออกมาที่ระดับ -172.1B จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -120.0B - Federal Funds Rate ออกมาที่ระดับ 0.25% จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 0.25% ตัวเลขเศรษฐกิจคืนนี้ - Core Retail Sales m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 0.0% คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ 0.0% - PPI m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -0.2% คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ -0.5% - Retail Sales m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -0.3% คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ 0.5% - Unemployment Claims ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 370,000 ตำแหน่ง คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ 368,000 ตำแหน่ง - Core PPI m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -0.2% คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ 0.2% วิเคราะห์ทางเทคนิค Gold —ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวแกว่งตัวอย่างมาก โดยที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงตลาด COMEX จากการคาดหวังของเฟดว่าจะมีมาตรการทางการซื้อพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง โดยเฟดมีการประกาศ 2 หลักการใหญ่คือ 1.) จากที่เฟดมีการประกาศใช้ QE4 ซื้อพันธบัตรเพื่อทดแทนมาตรการ Operation Twist ที่จะหมดอายุลงสิ้นเดือนนี้ และ 2) คงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปจนกว่าจะมีคนว่างงานน้อยกว่าระดับ 6.5% เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน ราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดเมื่อคืนโดยประมาณที่ระดับ 1,721 เหรียญ โดยที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงอีกครั้งหนึ่งในช่วงเช้านี้ตามแรงเทขาย ซึ่งบางส่วนคาดว่าเป็นความผิดหวังจากมาตรการใช้เงินดังกล่าว ซึ่งตลาดก็ยังมีความไม่ชัดเจนและยังไปให้ความสนใจในเรื่องของ Fiscal Cliff ซึ่งยังไม่ค่อยมีความคืบหน้าในการเจรจา ทำให้ตลาดยังให้น้ำหนักไปประเด็น Fiscal Cliff มากกว่าการที่มี QE4 สำหรับนายเบอร์นันเก้เองก็ได้ออกถ้อยแถลงระบุว่า เขายังคงมีความห่วงใยและมีความเห็นตรงข้ามว่า Fiscal Cliff จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงในระยะสั้น ทำให้โดยภาพรวมตลาดก็ยังเป็นลักษณะรอความชัดเจนของ Fiscal Cliff มากกว่า ทำให้ช่วงเช้านี้ราคาทองคำปรับหลุดลงมาที่ระดับ 1,700 เหรียญ และหลุดลงมาที่ระดับ 1,694 เหรียญโดยประมาณ สร้างความตกใจและเป็นจุดสนใจของนักลงทุน วิเคราะห์ได้ว่า ราคาทองคำยังอยู่ในความสับสนในทิศทางจากการเจรจาที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งจะเห็นการเคลื่อนไหวขึ้นลงรวดเร็วและรุนแรงของราคาทองคำ แนะนำให้เก็งกำไรในระยะสั้นๆ เท่านั้นในการซื้อและขาย โดยราคาทองคำจะมีแนวรับที่ระดับ 1,690 เหรียญและแนวต้านที่ระดับ 1,715 โดยภาพของเงินบาทเองยังเป็นลักษณะทรงตัวในทิศทางแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 30.63 - 30.66 บาท/ดอลลาร์โดยประมาณ Gold Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 24,830 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,050 บาท Gold Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 25,000 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,200 บาท Silver Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 990 บาท และแนวต้านที่ระดับ 1,020 บาท คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนเก็งกำไรรายวัน (Swing Trade) เก็งกำไรในภาวะการแกว่งตัวในกรอบ 1,690 — 1,715 เหรียญ แนะนำให้เป็นการซื้อขายภายในวันและเข้าเร็วออกเร็ว ซึ่งจะเห็นการแกว่งตัวอย่างมากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นักลงทุนระยะสั้น 7 — 20 วัน (Weekly Trade) เป็นลักษณะรอความชัดเจนเพื่อรอจังหวะการเข้าซื้อ ยังไม่แนะนำให้เข้าซื้อเพิ่มในขณะนี้ นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง เป็นลักษณะรอความชัดเจนเช่นเดียวกัน บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ