กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--กสทช.
หวังแก้ปัญหาอำนาจทับซ้อน “สำนักงาน กสทช.- คณะอนุคุ้มครองผู้บริโภค”ไม่ทำงานล้ำเส้นกัน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อรองรับการใช้บริการ 3G ที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2556
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ ด้านโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้กระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียนของ สำนักงาน กสทช. ยังมิได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และยังขาดประสิทธิภาพ โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ประกาศ กทช. เรื่อง กระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการ พ.ศ. 2549 นั้น ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ฉะนั้น ณ ขณะที่ออกประกาศฯ ทั้ง พระราชบัญญัติและประกาศ กทช.ดังกล่าวจึงเป็นกลไก การทำงานระหว่างสำนักงานฯ กับคณะกรรมการ (กทช.) เท่านั้น ต่อมาเมื่อมีการบัญญัติพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 แม้กฎหมายนี้จะกำหนดให้ตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นเพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน แต่ในขณะเดียวกันก็ให้อำนาจหน้าที่แก่สำนักงาน กสทช. ในการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเสนอความเห็นต่อ กสทช. เพื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนด ส่งผลให้อำนาจหน้าที่ในส่วนนี้ของสำนักงาน กสทช. ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ซึ่งในทางปฏิบัติกลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมของสำนักงาน กสทช. กลับเน้นบทบาทเหมือนกับฝ่ายธุรการที่เน้นการทำงานรองรับภารกิจของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ทำให้การขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน กสทช. ในเรื่องดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กรอบที่คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกำหนด ทำให้ภารกิจด้านการรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมของสำนักงาน กสทช. ขาดประสิทธิภาพ ขาดการดำเนินการในเชิงรุก เป็นผลให้ กทค. ไม่สามารถพิจารณาเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตามที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กำหนด ทั้งนี้ เพราะสำนักงาน กสทช. เข้าใจว่าเรื่องร้องเรียนที่รับเข้ามาแล้วจะต้องเสนอผ่านคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ทั้งหมด ประกอบกับกรอบอำนาจหน้าที่ที่ กสทช. กำหนดไว้ในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมมีมากมายถึง 9 ประการ ทั้งๆ ที่กฎหมายกำหนดให้ภารกิจหลักของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคือการพิจารณาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน ส่วนการปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ กสทช. กำหนดเป็นเพียงภารกิจรอง
อย่างไรก็ตามหลายเดือนที่ผ่านมานั้นมีเรื่องร้องเรียนที่ผ่านการกลั่นกรองของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ที่เสนอมาให้ กทค. พิจารณาเป็นจำนวนน้อยมาก ทำให้มีเรื่องค้างพิจารณาและไม่ถูกส่งเข้ามายัง กทค. เป็นจำนวนมาก หากมีการให้ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นย่าน 2.1 GHz ก็หมายถึงว่าจะมีบริการโทรคมนาคมมากขึ้น เรื่องร้องเรียนย่อมมากขึ้นตามลำดับ หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ จะเกิดผลเสียหายทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขโดยด่วน
“เรื่องนี้จะไปโทษสำนักงาน กสทช. ก็ไม่ได้ เพราะอำนาจหน้าที่มันทับซ้อนกัน เมื่อไม่มีหลักเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ชัดเจน สำนักงาน กสทช. ก็เลยเข้าใจว่าต้องเสนอให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ กลั่นกรอง ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เรื่องยาก หรือเรื่องที่เร่งด่วน ครั้นจะไปโทษคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯก็ไม่ได้ เพราะคำสั่งของ กสทช. ที่แต่งตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม แต่ไปให้อำนาจหน้าที่โดยเฉพาะในส่วนภารกิจรองเสียมากมาย ทำให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ เกิดความสับสนไปปฏิบัติภารกิจในส่วนที่เป็นภารกิจรอง จนไม่มีเวลาปฏิบัติภารกิจหลัก”
ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุงกรอบอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม รวมทั้งต้องเร่งแก้ไขประกาศ กทช. เรื่องกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการพ.ศ. 2549 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในส่วนของกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับการรับการพิจารณา และเสนอความเห็น เรื่องร้องเรียนระหว่างสำนักงาน กสทช. และคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ให้เกิดความชัดเจน โดยเชื่อว่าผลจากการปรับปรุงนี้จะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของงานทำให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อผู้บริโภค โดยจะทำให้การพิจารณาเรื่องร้องเรียนของ กสทช. โดย กทค. เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น