MovieUpside Down

ข่าวบันเทิง Tuesday December 18, 2012 14:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ธ.ค.--เอ็ม พิคเจอร์ส จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส ชื่อภาษาไทยนิยามรักปฏิวัติสองโลก” ภาพยนตร์แนว โรแมนติก-ไซไฟ จากประเทศ แคนนาดา-ฝรั่งเศส กำหนดฉาย 10 มกราคม 2556 ณ โรงภาพยนตร์ ทุกโรงภาพยนตร์ ผู้กำกับ Juan Diego Solanas ลิงค์ตัวอย่างภาพยนตร์ https://www.youtube.com/watch?v=KulCoqxI0I4 นักแสดง Kirsten Dunst (เคิร์สเตน ดันสท์) รับบทเป็น Eden (อีเดน) Jim Sturgess (จิม สเตอร์เกส) รับบทเป็น Adam (อดัม) Neil Napier รับบทเป็น Security agent Jayne Heitmeyer รับบทเป็น Executive จุดเด่น ภาพยนตร์เรื่อง Upside Down เป็นการโคจรมาร่วมงานกันครั้งแรกของสองนักแสดงชื่อดังอย่าง Kirsten Dunst (จากภาพยนตร์เรื่อง Spider Man ทั้งสามภาค , Melancholia , Mona Lisa Smile) และ Jim Sturgess จากภาพยนตร์เรื่อง Cloud Atlas , One Day , Across the Universe แถมยังเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับ Juan Diego Solanas เป็นภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคถ่ายทำแบบพิเศษที่เนรมิตรให้ฉากทุกฉากเต็มไปด้วยภาพที่งดงามน่าประทับใจ เรื่องย่อ อดัม(จิม สเตอร์เกส) เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่ายอาศัยอยู่ในจักรวาลอันบิดเบี้ยว เมื่อวิถีแห่งแรงโน้มถ่วงได้ทำให้โลกถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน มีเพียงท้องฟ้าเบื้องบนเท่านั้นที่มาบรรจบเข้าหากัน ซึ่ง อดัม อาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่างที่ๆเป็นของคนชนชั้นกรรมกรอาศัยอยู่ อดัม มีเพียงความทรงจำอันเลือนลางในช่วงวัยเด็กเท่านั้นที่เขายังจำได้แม่นยำคือรักแรกพบของเขากับ อีเด็น(คริสเท่น ดันทส์) มันเป็นความฝั่งใจที่เขาไม่เคยลืมและเขารู้สึกได้เลยว่า อีเด็น เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวผู้น่ารักจิตใจดีที่มาจากโลกเบื้องบน เหตุผลนี้เองที่ทำให้เขายังคงติดอยู่กับสถานที่แห่งหนึ่งที่เคยทำให้เขาได้เจอกับเธอ จนกระทั่งความบังเอิญที่ได้ถูกกำหนดให้ อดัม และ อีเด็น ได้พบกันอีกครั้ง แต่ด้วยเพราะกฎเหล็กแห่งโลกอันพิศดารนี้ห้ามไม่ให้คนทั้งคู่ได้พบรักกัน ข้อห้ามของแรงดึงดูดและกฎหมายอาจจะเป็นแค่เพียงกรวดหนามเล็กๆ ที่รอให้เขาก้าวข้ามผ่านมันไป อดัม จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาและเธอได้สมหวังในความรักครั้งนี้ สุดท้ายความรักของพวกเขาจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้บนโลกแสนประหลาดนี้หรือไม่? พลังแห่งความรักจะสามารถทลายกฎทุกๆ อย่างแม้แต่กฎของจักรวาลได้หรือไม่?? เปิดใจนักแสดงนำ... Jim Sturgess Q: ทำไมถึงตัดสินใจเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ A: ทันทีที่ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกอึ้งว่าหนังเรื่องนี้ มันแปลกแค่ไหน ผมจำได้ว่าผมรู้สึกทำนองว่า ว้าว ผมหมายถึงมันเป็นไอเดียที่น่าตื่นเต้นก็จริง แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง และสิ่งต่อมาที่เกิดขึ้นก็คือผมตกลงที่จะพบกับฮวน ที่เป็นผู้กำกับ ตอนนั้นเอง นาทีแรกที่ผมได้พบกับฮวนที่ผมรู้ทันทีว่าผมอยากจะแสดงหนังเรื่องนี้และอยากจะทำงานร่วมกับเขา ผมคิดว่าเขาจะต้องสร้างโลกที่เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นที่ได้อยู่ในนั้น ดังนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ตอนที่ผมได้พบกับฮวน แล้วผมก็ได้พบกับเขาที่ลอนดอน เขาตื่นเต้นกับโปรเจ็กต์นี้มาก มันเหมือนงานที่เขารักหมดใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่าไอเดียทั้งหมดเกิดจากความฝันของเขา เขาโชว์ไอเดียวิชวลต่างๆ ที่เขามีต่อเรื่องราวนี้ให้ผมดู ผมก็เลยเชื่อสนิทใจเลยว่าเขาจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้จริงๆ เพราะในกระดาษ มันเป็นโลกที่โดดเด่นเหลือเกินในความคิดของฮวน การแปลงความคิดนั้นลงบนกระดาษที่มีแต่คำพูดเลยเป็นเรื่องยาก แต่แน่นอนว่าแค่อ่านบทในตอนแรกผมก็รู้แล้วว่า มันจะต้องเป็นอะไรที่แปลกประหลาดและน่าตื่นเต้นแน่นอน Q: ฮวนเล่าถึงคอนเซ็ปหนังเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้าง A : มันเป็นเรื่องราวความรักที่คลาสสิกมากๆ เป็นความรักต้องห้าม เกี่ยวกับคนสองคนที่อยากจะอยู่คู่กัน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ควรจะอยู่ด้วยกันหรือทุกอย่างขัดขวางพวกเขา เป็นความรักที่มีอุปสรรคเสมอ คนคู่นี้ต้องดิ้นรนให้ได้อยู่คู่กัน ในเรื่องนี้ แรงดึงดูดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นอุปสรรคใหญ่ มันก็เลยเป็นเหมือนการรวมสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวน่าตื่นเต้นขึ้นมา การที่คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในแรงดึงดูดเดียวกัน ดังนั้น ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องรักที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่แปลกต่างและน่าตื่นเต้นมากๆ ครับ Q: ในเรื่องนี้ มีโลกสองใบที่แยกจากกัน ช่วยบอกถึงความแตกต่างระหว่างโลกทั้งสองใบหน่อยได้มั้ย A: มันมีโลกด้านใต้ กับโลกที่อยู่ด้านบน โลกที่อยู่ด้านล่างจะยากจนข้นแค้น เสื่อมโทรม เหมือนกำลังจะล่มสลาย ส่วนโลกด้านบนเป็นโลกเจริญแล้วที่ร่ำรวย สิ่งที่เชื่อมโลกทั้งสองใบนั้นคือบริษัทที่มีชื่อว่าทรานส์เวิลด์ ซึ่งปกครองทุกอย่าง และเป็นผู้ดูแลทุกอย่างบนโลก เบื้องบน ตัวละครของผมได้งานทำที่ทรานส์เวิลด์ เซ็นเตอร์ เพื่อขึ้นไปโลกด้านบน เพื่อตามหาหญิงในฝันของเขา ทรานส์เวิลด์ ทาวเวอร์เป็นสถานที่หนึ่งเดียวที่โลกทั้งสองมาบรรจบกัน ที่ที่เราอยู่ทุกวันนี้นี่แหละครับคือฟลอร์ ซีโร ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งที่ซึ่งคนจากโลกด้านล่างและด้านบนได้ทำงานร่วมกันจริงๆ ครับ Q: ไอเดียของทรานส์เวิลด์และโลกสองใบ มันฟังดูเหมือนมันมีลักษณะทางกายภาพ/การเมืองบางอย่าง...มีเรื่องของการเปรียบเทียบ...มันมีมุมมองอะไรบางอย่าง นั่นเป็นเรื่องชัดเจนรึเปล่า A: ครับ แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นเทพนิยายด้วยเหมือนกัน มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันเหมือนเทพนิยายสมัยใหม่ที่แปลกประหลาด และผมคิดว่าในเทพนิยายที่มหัศจรรย์เหล่านั้น มันจะมีสิ่งเปรียบเทียบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่มันไม่ได้บอกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้รับมือกับเรื่องนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะผมหมายถึงว่า มันมีประเด็นหลายๆ อย่างเช่นการมีทาส นโยบายแยกสีผิวและทุนนิยม..เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ที่ร้อยเรียงอยู่ในหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันถูกยัดเยียดเข้ามาให้คุณ ผมคิดว่าฮวนฉลาดมากที่หลอมรวมเรื่องต่างๆ แบบนั้นเข้าไปในเรื่องราวแฟนตาซีแบบนี้น่ะครับ Q: ตอนเป็นเด็ก คุณชื่นชอบเรื่องราวแฟนตาซี ตำนานและเทพนิยายรึเปล่า A: แน่นอนครับ อย่างเรื่อง James and the Giant Peach นั่นเป็นเรื่องที่ผมชอบนะครับ หรืออย่างหนังสือของโรอัลด์ ดัห์ลอะไรแบบนั้น ผมไม่เคยแสดงหนังแฟนตาซีจริงๆ จังๆ มาก่อน ผมก็เลยอยากจะแสดงซักเรื่องน่ะครับ ผมเคยแสดงหนังมาหลายเรื่องที่สร้างขึ้นจากความจริงอันโหดร้ายและเรื่องจริง มันเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่ได้ปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองให้บรรเจิด ผมสนุกกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ที่เป็นแฟนตาซีเยี่ยมๆ ผมก็หวังว่ามันจะเป็นหนังที่มีลุคที่ค่อนข้างน่าทึ่งและน่าตื่นเต้นที่ได้แสดงน่ะครับ Q: เล่าถึงบทบาที่คุณได้รับให้ฟังหน่อย A: ผมรับบท อดัม เคิร์ค ที่เป็นชายหนุ่มจากโลกด้านล่าง สมัยเด็ก เขาเคยขึ้นไปบนยอดบนสุดของสถานที่ที่เรียกว่า หุบเขานักปราชญ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดที่สูงที่สุดของโลกด้านล่าง ข้างบนนั้น เขาได้เจอกับเด็กสาวที่ชื่อ อีเดน เขาเป็นตัวละครที่ช่างสงสัย และเขาก็มีจิตใจอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน นั่นเองที่พัฒนากลายเป็นความสัมพันธ์ พวกเขาได้พบกันสมัยเด็กและความสัมพันธ์นั้นก็พัฒนากลายเป็นความรักที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เขาตามตื๊ออีเดนและพวกเขาก็ได้พบกันตลอดบนยอดเขานี้ ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาถูกพบ ตอนนั้นเองที่ปัญหาในเรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เขาถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์ต่างเผ่าพันธุ์กับเด็กสาวที่อยู่โลกด้านบน เขาก็เลยถูกขังนานเก้าปี ส่วนอีเดนก็ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ขณะที่ทั้งคู่ตกลงไปสู่แรงดึงดูดของพวกพวกเขา หัวเธอกระแทก ทำให้เธอความจำเสื่อม ดังนั้น เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่อดัมพยายามจะกลับไปสู่โลกด้านบนเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำสมัยวัยเด็ก ว่าพวกเขาเคยตกหลุมรักกันและกันอย่างบ้าคลั่ง Q: พูดถึงเรื่องของสองคนนี้ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน...แรงดึงดูดนี้ท้าทายให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น คุณต้องใช้จินตนาการของตัวเอง...ตอนที่คุณอ่านบทเรื่องนี้ คุณจินตนาการมันออกมั้ย คุณได้ดูภาพวาดของอเล็กซ์รึเปล่า อะไรบอกคุณว่าหนังเรื่องนี้จะออกมามีลุคยังไง A: ครับ นั่นเป็นตอนที่ผมได้พบกับฮวนในลอนดอนอย่างที่ผมเคยบอกมาก่อน เขาหยิบคอมพิวเตอร์ออกมาและเขาก็โชว์ลุคทั้งหมดของเรื่องให้ผมดู และจริงๆ แล้ว จินตนาการผมก็ไม่ได้มีภาพพวกนั้นเลย มันดียิ่งกว่าสิ่งที่ผมคิดในตอนแรกเสียอีก...ผมตื่นเต้นจริงๆ ที่ฮวนได้...คือเรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ มันเป็นความเป็นไปได้คู่ขนาน เกี่ยวกับโลกสองใบที่คงอยู่เคียงข้างกันแบบนั้น สำหรับโลกเบื้องล่าง ภาพของเขาเหมือนกรุงซาราเยโว ที่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสงครามหรืออะไรทำนองนั้น มันให้ความรู้สึกแบบนั้นครับ มันมีตึกที่ผุพัง มีรถเก่าสนิมเขรอะ คุณก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน มันอาจจะเป็นอนาคต หรืออาจเป็นอดีต มันอาจเป็นที่ไหนก็ได้ ตอนที่ฮวนโชว์ภาพวาดยอดเขาที่วิเศษสุดพวกนี้ ที่มีคนสองคนเกือบจะสัมผัสกันได้ มันน่าทึ่งทีเดียวล่ะครับ Q: การใช้โลเกชั่นและกรีนสกรีน รวมกับฉากต่างๆ มันช่วยคุณในการสวมบทตัวละครตัวนี้อย่างไรหรือมันช่วยกำหนดโทนให้กับอีกหลายๆ ฉากรึเปล่า A: ครับ...เราโชคดีมากๆ ที่เรามีผู้ออกแบบฉากที่เหลือเชื่อที่สุดอย่างอเล็กซ์ แม็คดูเวล ผู้สร้างฉากทั้งหมดนี้ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกใบนั้น....มากกว่าที่ผมเคยคิดซะอีก ผมคิดว่ามันจะมีการใช้กรีนสกรีนมากกว่านี้และก็ต้องใช้จินตนาการเสริมเอา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีบ้าง แต่คุณก็จะได้แสดงกับฉากจำนวนหนึ่ง และก็มีกรีนสกรีนจำนวนหนึ่ง ที่อยู่รอบๆ ด้านนอกครับ มันเหมือนกับการแสดงละครเวที หรืออะไรทำนองนั้น คือมันจะไม่ได้มารบกวนใจคุณมากเกินไปนัก ตัวละครพวกนี้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างดี ดังนั้น ผมก็เลยค่อนข้างจะรู้ละเอียดแล้วว่าผมจะเล่นออกมายังไง แล้วส่วนเรื่องโทน...ด้วยความที่มันเป็นหนังสนุกและก็น่าจะเป็นหนังที่สนุกครับ มันรับมือกับประเด็นเหล่านี้ และมันก็มีความเป็นดราม่าในบางตอน ตลกในบางตอนและเศร้าบาดใจในบางตอน มันก็เลยเป็นสิ่งที่เราต้องคิดกันในตอนที่เราไปมอนทรีอัล แต่มันก็เป็นสิ่งที่มาจากบทจริงๆ นะครับ Q: คุณมาถึงมอนทรีอัลตั้งแต่แรกๆ เลยนี่ คุณอยู่ที่นั่นก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นเสียอีก A: ผมมาที่นี่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำ เพื่อฝึกฝนฉากบนลวดสลิง ซึ่งผมไม่รู้เลยว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรบ้าง แต่มันสนุกมากครับ มันเจ๋งเสมอเวลาที่คุณได้เล่นหนังที่คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่พิลึกพิลั่น ที่คุณจะไม่มีวันทำในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การฝึกฉากบนลวดสลิงก็เลยเป็นเรื่องหนึ่งสำหรับผมในแง่นั้น แต่ใช่ครับ ผมต้องห้อยโหนอยู่กลางอากาศบ่อยๆ เลยล่ะ Q: แรงดึงดูดเข้ามามีบทบาทอะไรในเรื่องบ้าง A: มันมีบทบาทสำคัญมากครับ มันเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องด้วยครับ ผมพยายามจะนึกอยู่เสมอว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมอยู่ในที่ที่แรงดึงดูดผิดพลาด และผมทำแบบนี้…หรือถ้าวัตถุนี้มาจากโลกใบนี้ มันจะเป็นยังไง จะเคลื่อนไหวยังไง มันจะลอยขึ้นไปบนฟ้ารึเปล่า ผมหมายถึงสำหรับทั้งทีมงานและตัวผมเองด้วย เพราะตอนที่คุณแสดง คุณจะต้องคิดอยู่เสมอว่า คุณอยู่ในแรงดึงดูดแบบไหน ว่าเสื้อผ้าคุณจะเป็นยังไง อะไรทำนองนั้นน่ะครับ ตอนที่เราเข้าฉากกัน ผมก็จะพูดทำนองว่า เดี๋ยวนะ ผมสวมกางเกงของโลกด้านล่างอยู่ ผมควรจะยัดขากางเกงเข้าในถุงเท้าเพื่อที่…เรื่องพวกนั้นน่ะครับ คุณจะต้องคิดอยู่เสมอเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะน่าเชื่อ ทุกอย่างจะถูกไตร่ตรองไว้เสร็จสรรพแล้วเผื่อว่าจะมีคนอยากมาท้าทายเราว่า “มันไม่ได้เกิดขึ้นซักหน่อย” น่ะครับ Q: ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด แรงดึงดูด ลวดสลิง การห้อยหัว… A: อาจจะเป็นการที่ผมไม่ค่อยได้นอน แล้วต้องห้อยตัวบนลวดสลิงประมาณวันละสิบสองชั่วโมงน่ะครับ มันตลกดีนะครับ ตอนที่ผมอ่านบท มันดูเหมือนสนุกมากเลย และแน่นอนว่าผมก็ไม่ได้นึกถึงงานหนักที่ผมต้องทำเพื่อทำให้ความสนุกนั้นปรากฏบนหน้าจอหรอก ดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ น่าตื่นเต้น เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กลับเป็นหนึ่งในหนังที่ยากที่สุดที่ผมเคยแสดงมา มันต้องใช้เรี่ยวแรงมาก แต่ก็น่าตื่นเต้นสุดๆ ในขณะเดียวกัน แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเหมือนเรื่องอื่นๆ หรอกนะครับ ผมนึกไม่ออกว่ามีอะไรที่ท้าทายเป็นพิเศษเลยในบรรดาฉากลวดสลิงที่เราทำ พวกเขาให้ผมกระโดดลงไปในสระน้ำตอนที่หิมะตกข้างนอก คือมันหนาวสุดๆ ไปเลย ผมยืนอยู่ในชุดที่เปียกโชก บนบอร์ดกระโดดน้ำที่สูงสิบเมตร แล้วต้องกระโดดลงไปในน้ำ แต่ผมก็มารู้ตัวว่าผมสนุกมากแค่ ไหนเพราะผมนึกในใจว่า ผมคงไม่มีที่ไหนที่ผมอยากอยู่มากไปกว่าที่นี่ในตอนนี้อีกแล้ว ดังนั้น… Q: อยากให้ลองเล่าเกี่ยวกับการถ่ายทำฉากผาดโผนหน่อย A: อย่างแรกที่ผมต้องเรียนรู้คือการบินและลอยตัว ต้องอาศัยความทุ่มเทมากครับ ตอนนี้ ผมนับถือทีมงานของหนังเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon มากๆ เลย เพราะในการทำแบบนั้น…ผมจะต้องลุกขึ้น นั่งลง หัน และหมุนไปรอบๆ ซึ่งนั่นก็ยากพอแล้ว มันเป็นอะไรที่ต้องแม่นยำมากๆ เช่นถ้าคุณใช้เท้าส่งตัวขึ้น ถ้าคุณใช้แรงมากเกินไป คุณก็อาจจะเซได้ ดังนั้น คุณก็ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลร่างกายคุณหรืออะไรทำนองนั้นครับ Q: แล้วเรื่องของการห้อยหัวล่ะ A: มันยากเลยล่ะ ผมได้เข้าฉากกับทิม สปอล ผู้รับบท บ็อบ พอร์โตโทรวิช ในหนังเรื่องนี้ พวกเขาจับผมห้อยหัวจริงๆ ทำให้ผมที่นั่งอยู่บนเพดาน ดูเหมือนว่าผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ปกติ แต่จริงๆ แล้ว ผมกำลังห้อยหัว ซึ่งผมก็ต้องทำเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…ขณะที่เลือดค่อยๆ ไหลมาทางหัวผมและตาผมก็เริ่มจะปูดโปนออก ผมแสดงทั้งฉากอยู่บนนั้น และจริงๆ แล้ว พวกเขาได้หาสายรัดแบบนี้มาไว้ในห้องแต่งตัวผมด้วย เพื่อที่ผมจะได้ทดลองห้อยหัวระหว่างพักเที่ยงอะไรแบบนั้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่คุณอยากทำเวลาพักเที่ยงแหงอยู่แล้วล่ะ ผมก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะห้อยหัวอยู่ได้นานๆ แต่ครั้งแรกที่ผมทำ ผมมึนไปหมดแล้วก็อาเจียนออกหมดไส้หมดพุง และปวดหัวอย่างที่ไม่เคยปวดมาตั้งนานแล้วน่ะครับ Q: คุณเคยแสดงฉากกรีนสกรีนมาเยอะรึเปล่า A: ไม่เลยครับ ผมเคยแสดงฉากหนึ่งมาในหนังเรื่อง Across the Universe ที่ผมจะต้องยืนอยู่ในกลุ่มคนแล้วโบกมือ ผมทำแค่นั้นเองจริงๆ ดังนั้น แม้ว่าตอนนั้นมันจะยาก แต่ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน และผมก็อยากจะลองทำดูครับ เพราะมันเป็นลักษณะการแสดงที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงและผมก็อยากจะลองและมีประสบการณ์กับทุกอย่างเท่าที่ทำได้ จริงๆ แล้วผมอยากจะแสดงหนังที่มีสเปเชียล เอฟเฟ็กต์มากขึ้น ดังนั้น พอมีหนังแบบนี้เข้ามา สำหรับผมแล้ว มันก็เลยเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์เลยครับ ผมคิดว่ามันเป็นวิธีการสร้างวิชวลกับกรีนสกรีนที่มีเอกลักษณ์ล่ะมั้งครับ และผมก็คิดว่ามันเหมาะกับความนึกคิดของผมด้วย มันเหมาะกับการที่ผมอยากจะแสดงหนังสเปเชียล เอฟเฟ็กต์น่ะครับ Q: แล้วความท้าทายคืออะไรล่ะ ยกตัวอย่างเช่น พวกจุดสายตา เรารู้ว่าพวกคุณต้องใช้สมาธิกับเรื่องแบบนั้น ในระดับเทคนิคแล้ว กรีนสกรีนนำมาซึ่งความท้าทายที่ผมคิดว่าคุณคงไม่เคยคาดคิดมาก่อนแน่ๆ A: ครับ ในตอนที่คุณจ้องกำแพงสีเขียว ที่อยู่ห่างคุณหลายเมตร แล้วคุณต้องจินตนาการว่ามันมีภาพที่เหลือเชื่อปรากฏตรงหน้าคุณ...แล้วคุณก็เริ่มพูดกับ...เครื่องหมายกากบาทบนผนังหรือลูกเทนนิสที่แขวนอยู่ตรงนั้น เพราะเราจะใช้คนจริงๆ มาวัดระดับสายตาไม่ได้ เพราะคนๆ นั้นอยู่บนท้องฟ้าน่ะครับ ดังนั้น ในตอนที่พวกเขาเคลื่อนที่ คุณก็ต้องละสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ว่านั่นเป็นเขาที่นั่งอยู่ตรงลูกเทนนิส และพอเราไปถึงโต๊ะ เขาก็อยู่ตรงนั้น ดังนั้น คุณก็จะมีระดับสายตาห้าแบบสำหรับคนๆ เดียวระหว่างที่พวกเขาเดินไปมารอบห้อง แล้วบางทีมันก็จะซับซ้อนขึ้นมา มันเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องแสดงกรีนสกรีนและมองหน้าคนๆหนึ่งระหว่างที่มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นด้านหลังคุณ แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครมาแสดงตอบโต้กับคุณน่ะครับ Q: คุณเลือกที่จะแสดงฉากผาดโผนพวกนั้นด้วยตัวเองใช่มั้ย A: ครับ ผมอยากแสดงฉากพวกนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่ามันมีบางอย่างที่ผมทำไม่ได้ เพราะถ้าผมทำนิ้วหัวแม่เท้าหักหรือทำคอตัวเองหัก แบบบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น หรือเล็บหัก ไม่รู้สินะครับ หนังก็อาจจะเดินหน้าต่อไม่ได้ ผมก็เลยแสดง...ผมก็เลยแสดงทุกฉากที่ผมได้รับอนุญาตให้แสดงครับ Q: แล้วสตันท์ ดับเบิลล่ะ A: ครับ กิมเบิลจริงๆ แล้วเป็นห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลางวงล้อขนาดใหญ่ ตัวห้องเองจะหมุนสามร้อยหกสิบองศา พร้อมกับทุกอย่างที่อยู่ด้านใน กล้องจะขยับไปกับห้องด้วย ดังนนั้น คุณก็บอกไม่ได้หรอกครับว่าห้องกำลังขยับ แต่คุณจะเห็นได้ว่าของที่อยู่ข้างในนั้น เช่นตัวผม จะกระแทกกับกำแพงและห้อยหัวลง มันก็เลยเป็นฉากที่แสดงได้ยากครับ อย่างที่ผมบอก เราจะถ่ายทำฉากนั้นในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง ในกรณีที่ผมได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะสามารถปิดกล้องได้น่ะครับ Q: ประสบการณ์การร่วมงานกับฮวน เป็นยังไงบ้าง A: การร่วมงานกับฮวน…เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากในทุกๆ ทางครับ เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนสุดโต่งด้วยล่ะ เพราะนี่เป็นการถ่ายทำที่ยาก ยากจริงๆ มันมีเรื่องเทคนิคมากและสำหรับเขา มันก็เป็นงานหนัก ที่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่าผมคงจะผ่านมันไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขาเป็นคนกำกับ การอยู่ใกล้เขาเป็นเรื่องสนุกมาก มันทำให้ผมหัวเราะทุกวันเลยครับ ทุกวันเลยจริงๆ ผมก็เลยมีแต่เรื่องดีๆ จะพูดถึงเขา เขาเป็นหนึ่งในคนที่โอบอ้อมอารีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา แล้วเขาก็เป็นคนที่น่าสนใจรอบด้านจริงๆ นอกเหนือจากการเป็นคนน่ารักแล้ว เขายังมีเรื่องราวความเป็นมาที่เหลือเชื่อ ที่พ่อเขากับครอบครัวเขาถูกเนรเทศจากอาร์เจนตินาและย้ายไปปารีสด้วย ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่พิเศษสุดจริงๆ ครับ Q: คุณคิดว่าการที่เขาทั้งเขียนบทเองและกำกับเอง…มันช่วยคุณในฐานะนักแสดงรึเปล่า A: ครับ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะผมสามารถเดินไปถามเขาได้เสมอ เพราะมันเป็นโลกของเขา เป็นจินตนาการของเขาและสิ่งที่เราพยายามจะสร้างขึ้นมาคือสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของเขา ดังนั้น ถ้ามีคำถามอะไรล่ะก็ เขาจะรู้คำตอบครับ มันมีวันหนึ่งที่กระทบใจมากๆ สำหรับเขา และผมก็รู้สึกทึ่งมากที่ได้เห็น วันหนึ่ง เรามาทำงานกันแล้วเขาก็บอกว่า จิม รู้มั้ย ผมรู้สึกอ่อนไหวมากในวันนี้ เพราะเราจะได้ถ่ายทำฉากที่เป็นความฝันที่ผมเห็น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่อง คือเขาเห็นภาพของคนสองคนที่ยืนอยู่บนยอดเขา ที่อยู่คนละฟากฝั่ง และพยายามจะเอื้อมมือหากัน นั่นเป็นภาพฝันของเขาครับ ส่วนโลกใบนี้ หนังทั้งเรื่องถูกสร้างขึ้นต่อยอดจากภาพนั้น คุณก็เลยรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังทำงานให้เขาและคุณก็อยากทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งคุณก็จะทำทุกทางเท่าที่ทำได้เพื่อทำให้ความฝันนี้ของเขากลายเป็นจริง เพราะเขาเป็นคนน่ารักมากและด้วยความที่เขาเป็นคนที่มหัศจรรย์จริงๆ คุณก็เลยอยากจะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงสำหรับเขา ผมรู้ว่าทีมงานหลายคนก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับผม Q: คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้สไตล์การกำกับของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นเหลือเกิน A: ผมคิดว่าน่าจะเป็นการที่เขาคิดทุกอย่างไว้ในหัวอยู่แล้ว เขาเหมือนเด็กตัวโตและผมก็มั่นใจว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ยอมรับเรื่องนั้น เขามีจินตนาการบรรเจิดและนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นและสิ่งที่จะออกมาบนแผ่นฟิล์มด้วย คุณจะไว้ใจจริงๆ ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เขาได้ฝันถึง ดังนั้น การได้รับการรับรองแบบนั้น...แล้วเขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากด้วย อย่างที่ผมบอกครับ เขาเป็นคนสุดโต่ง คุณก็เลยจะรู้เลยว่าเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะได้มันมาตามแบบที่เขาวาดภาพเอาไว้แต่แรกครับ Q: แล้วการร่วมงานกับเคิร์สเตนล่ะ A: เคิร์สเตนเหรอ…ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากในทุกทาง ทั้งการได้ร่วมงานกับฮวนและเคิร์สเตน เธอเป็นคนที่มีประสบการณ์กับลวดสลิง เธอก็เลยเป็นคนที่เข้าใจว่าผมต้องเจออะไรบ้าง เธอก็แค่…เราได้พบกันในนิวยอร์กและผมก็จำได้ก่อนหน้านั้น…สองสามเดือนก่อนหน้าที่เราจะเริ่มถ่ายทำ ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเราจะต้องมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกัน มันจะมีกลุ่มคนที่น่ารัก คงไม่มีใครที่เหมาะกับบทอีเดนมากไปกว่านี้อีกแล้ว เธอเป็นนักแสดงที่มหัศจรรย์และสนุกมากด้วย เราถูกมัดติดกับลวดสลิงด้วยกันครั้งหนึ่งหลายชั่วโมง ดังนั้น คุณก็ควรจะเข้ากับคนๆ นั้นให้ได้ โชคดีที่เราได้กลายมาเป็นเพื่อนรักกันครับ Q: พวกคุณมีสไตล์การทำงานที่คล้ายกันมั้ย คุณได้เรียนรู้จากกันและกันในเรื่องไหนบ้าง A: ไม่รู้สินะครับ ผมหมายถึง ทุกคนก็มีสไตล์การทำงานในมุมมองของตัวเอง สำหรับหนังแบบนี้ มันสนุกตรงที่มันเป็นหนังสนุก และพอมันเป็นหนังสนุก คุณก็ควรจะมีมุมมองที่สนุก เพลิดเพลินกับมันเพราะนั่นคือสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อสารออกไปสู่หน้าจอ ดังนั้น มันก็เลยไม่ใช่อะไรที่ตึงเครียดสุดๆ สำหรับพวกเรา ในแง่นั้นแล้ว มันก็สนุกดีครับ แล้วเคิร์สเตนก็เป็นคนสนุกด้วย ผมสนุกที่ได้อยู่กับเธอมาก…ส่วนฮวนก็ชอบใช้เวลาอยู่กับพวกเราเหมือนกัน ผมหวังว่าพลังงานและทัศนคติแบบนั้นจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้วยนะครับ Q: แล้วการร่วมงานกับเดฟ ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ล่ะ เขาน่าจะเข้มงวดกับคุณทีเดียว A: ใช่ครับ ทีมสตันท์วิเศษสุดมาก พวกเขาวิเศษสุดจริงๆ ไทเลอร์และเดฟใจดีกับผมมาก พวกเขาให้กำลังใจผม คอยช่วยผมให้ผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนดีและเข้ากันได้ง่ายล่ะก็ มันก็จะเป็นประสบการณ์อีกแบบไปเลย มันมีเรื่องที่สนุกจริงๆ และก็มีบางเรื่องที่ยากขึ้นหน่อยสำหรับผม พวกเขาคอยให้กำลังใจผมมากเลย ซึ่งผมก็ชอบเรื่องพวกนั้นนะ ผมเป็นคนแรกที่อยากจะลองแสดงมันดูครับ Q: การตัดสินใจเลือกภาพยนตร์ที่ผ่านมาของคุณ ตั้งแต่ Fifty Dead Men Walking มาจนถึง Across the Universe หรือ The Way Back มันไม่ใช่หนังฮอลลีวูดทั่วๆ ไปเลย แต่ทุกเรื่องจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายๆ กัน เราเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่อะไรล่ะที่ทำให้คุณสนใจหนังพวกนี้ อะไรเป็นจุดขายสำคัญสำหรับคุณ A: มันเป็นหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาที่แตกต่างกันครับ มันไม่ได้มีส่วนประกอบอะไรเป็นพิเศษที่ผมมองหาในตอนที่เลือกโปรเจ็กต์ ผมคิดว่าหลังจากที่คุณเสร็จจากโปรเจ็กต์นั้นๆ คุณจะไม่อยากทำอะไรที่คล้ายๆ เดิม คุณก็เลยพยายามหาสิ่งใหม่ๆ หรือน่าสนใจ หรือโปรเจ็กต์ที่มีผู้กำกับเป็นคนที่คุณอยากร่วมงานด้วย มันมีปัจจัยมากมายขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงตอนไหนในชีวิตของคุณครับ ผมก็มีพื้นฐานว่าอะไรที่ผมชอบ อะไรที่ไม่ชอบ และอะไรที่น่าสนใจ ดังนั้น การพยายามหาสิ่งใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องสนุกเสมอครับ ผมคิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกันเล็กน้อย หรือความท้าทายในการสวมบทนั้นๆ หรือมีอะไรที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับบทบาทของคุณ หรือมันอาจจะเหมือนอย่างเรื่องนี้ ที่เป็นประสบการณ์วิชวลทั้งหมดที่คุณอยากมีส่วนร่วมด้วย ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้จริงๆ มันเป็นอะไรที่เกิดจากจิตใต้สำนึกครับ ผมไม่ได้มีสูตรหรือส่วนประกอบของสิ่งที่ผมเลือกหรอกครับ มันก็แค่เกิดขึ้นในเวลาที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง Q: มันคือสัญชาตญาณน่ะสิ A: ครับ ผมก็ว่างั้น ผมโชคดีมาก นี่เป็นโปรเจ็กต์อินดีที่มีความคิดอ่านแบบอินดี แต่มีสเกลแบบหนังสตูดิโอใหญ่ หรืออะไรแบบนั้น ผมหมายถึงมันน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้เห็นว่าคนพวกนี้สามารถ...ว่าเราทุกคนสามารถสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้สำเร็จครับ Q: คุณอยากให้ผู้ชมกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกยังไงหลังจากที่พวกเขาได้ดูหนังเรื่องนี้ A: ผมอยากให้พวกเขารู้สึกเพลิดเพลินในแบบที่หนังดีๆ จะเป็น คือหนังดีๆ ควรจะมีทั้งคอเมดี มีเรื่องเศร้า มีดราม่า แล้วก็มีความแปลกประหลาด ไม่เหมือนใคร ผมคิดว่าหนังดีๆ น่าจะเติมเต็มสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด คุณจะได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ มีทั้งฉากดราม่า มีซีเควนซ์แอ็คชั่น แต่ก็ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นฟอร์มใหญ่ แต่แล้วมันก็เข้าสำรวจตัวละครเหล่านี้อย่างสนิทชิดเชื้อ ดังนั้น มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่คุ้มกับการดูสองชั่วโมงและคุ้มกับเงินที่คุณจ่ายไปเพื่อจะได้รับความบันเทิงในโรงหนัง คุณจะได้ทั้งหมดนั่นในหนังเรื่องนี้แน่นอนครับ เปิดใจนักแสดงนำ...Kirsten Dunst Q: เพราะอะไรคุณถึงตัดสินใจรับเล่นหนังเรื่องนี้ A: ฉันได้รับบทมาค่ะแล้วฉันก็อ่านมัน ฉันได้อ่านบทมาหลายเรื่องแล้ว และก็ไม่มีเรื่องไหนโดนใจฉันเลย ฉันแค่...แล้วจู่ๆ ฉันก็เจอความเรียบง่ายและความงดงามดุจบทกวีในหนังเรื่องนี้ แล้วฉันก็ได้พบกับฮวน ได้ดูหนังสั้นของเขา ซึ่งฉันคิดว่าเหลือเชื่อมาก และฉันก็รู้ด้วยว่าหนังเรื่องนี้น่าจะมีภาพที่เหลือเชื่อและเรื่องราวที่งดงามเหลือเกิน แค่นั้นเลยค่ะ Q: หลังจากอ่านบทเรื่องนี้แล้ว อะไรในบทหนังเรื่องนี้ที่ดึงดูดใจคุณ A: ไอเดียทั้งหมดของเรื่อง เกี่ยวกับโลกคู่ขนานที่เชื่อมโยงถึงกันค่ะ แล้วมันก็มีแง่มุมด้านการเมือง มีเรื่องความรัก แล้วมันก็มียุคสมัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในตอนท้ายเรื่องด้วยค่ะ มันก็เลยมีธีมใหญ่ๆ มากมาย แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกที่แปลกประหลาดและตลกมากๆ ค่ะ ฉันก็เลยคิดว่าทั้งหมดนั่นจัดการได้ดีมากๆ หลายคนเรียกมันว่าหนังไซไฟ แต่สำหรับฉันแล้ว มันไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย แต่มันให้ความรู้สึก...เหมือนกับ “Brazil” มากกว่าค่ะ Q: เราคิดว่ามันมีความรู้สึกไร้กาลเวลาอยู่เหมือนกัน ตอนที่คุณได้ดู...เราคิดว่าดีไซน์นี้อาจจะอยู่ในอดีตหรืออนาคตก็ได้ A: ใช่ค่ะ มันมีความขัดแย้งของอาคารเก่าๆ กับกลิ่นไอที่เหมือนกับยุคแปดศูนย์ ฉันจำได้ว่าฉันอยู่ใน...ตอนที่เราอยู่กันในห้องแทงโก้น่ะค่ะ...(มีโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ) ฉันกำลังจะเล่าให้ฟังว่าห้องบอลรูมดูเป็นยังไงสำหรับฉากแทงโก้ มันมีความรู้สึกโรแมนติกแบบเก่าแก่ แล้วก็พวกแสงและทุกอย่างดูแล้วให้ความรู้สึกแบบยุคแปดศูนย์มากๆ สำหรับฉัน มันก็เลยเป็นอะไรที่เยี่ยม...เหมือนไอเดียของโมเดิร์นนิสซึมสมัยเจ็ดศูนย์หรือแปดศูนย์ที่แทรกซึมเข้ามา แม้แต่คอมพิวเตอร์ของเรายังเป็นคอมพิวเตอร์เก่าเลย ซึ่งฉันก็ชอบตรงนั้นค่ะ ฉันคิดเสมอว่าหนังที่ดีที่สุดมักจะไร้กาลเวลา เหมือนไม่มีใครใช้เครื่องแม็คหรืออะไรทำนองนั้น หนังเดี๋ยวนี้เริ่มให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโฆษณาชีวิตสมัยใหม่เข้าไปทุกที ฉันก็เลยมักเลือกหนังที่คุณบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ในยุคสมัยไหนค่ะ Q: สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในกองถ่าย ไม่ได้อ่านบท ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย คุณจะพูดถึงหนังเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังว่าอะไร A: ฉัน...ทุกครั้งที่มีคนถามฉันว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ฉันนึกถึงฮวนเสมอค่ะ เพราะ...ฉันไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหารค่ำนั้นด้วยซ้ำ แต่มีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งถามเขาว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร และเขาก็แบบว่า...มันเหมือนโลกสองใบ ที่ทำท่า 69 กัน...(หัวเราะ) ฮวนพูดถึงหนังเรื่องนี้แบบนั้นค่ะ ดังนั้น หนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกสองใบและแรงดึงดูดที่ทำให้โลกทั้งสองใบคงอยู่แบบนั้น แล้วก็มีหอคอยที่เป็นตัวเชื่อมโยงโลกทั้งสองใบเข้าด้วยกัน ซึ่งมันเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองโลก ดังนั้น คนจากทั้งสองโลกก็สามารถทำงานในอาคารนี้ได้ แต่คนในโลกทั้งสองต่างก็เคารพเรื่องของพรมแดนและขอบเขตอย่างมาก โลกหนึ่งเป็นเหมือนคิวบามากหน่อย ส่วนอีกโลกหนึ่งก็เป็นเหมือนอัปเปอร์ อีสต์ ไซด์ และฉันก็มาจากอัปเปอร์ อีสต์ ไซด์ ส่วนตัวละครของจิม สเตอร์เจสก็เหมือนมาจากคิวบา หรืออะไรทำนองนั้นค่ะ มันก็เลยเป็นเรื่องของความแตกต่างทางชนชั้น ฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งเพราะไฟฟ้า และฝ่ายหนึ่งก็ควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งเพราะน้ำมัน มันก็เลยมีธีมมากมายที่ร้อยเรียงอยู่ในเรื่องแบบนั้นค่ะ Q: คุณจะช่วยบอกถึงความแตกต่างระหว่างโลกทั้งสองได้มั้ย A: มันเหมือนเรื่องราวความรักของ Romeo and Juliet ที่มาจากคนละตระกูล และมีหลายสิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกัน...ทั้งชนชั้น ตระกูลของพวกเขา การที่เธอลืมเขาเป็นเพราะอุบัติเหตุสมัยที่เธอยังเด็ก ขอโทษนะคะ (หัวเราะ)...ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองพูดพล่ามยังไงก็ไม่รู้ Q: คุณคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้ A: ฉันคิดว่าฉันไม่เคยเห็นภาพเหมือนอย่างนี้มาก่อน ที่คุณจะเจอกับช็อตที่ถูกตัดต่อและวางเลเยอร์เป็นสองส่วน ที่ที่บางคนจะอยู่บนเพเดาน ในขณะที่บางคนไม่ได้อยู่ค่ะ มันจะดูเหมือนคนเดินไปมาในห้องเดียวกัน แต่อยู่กันคนละแรงดึงดูด ดังนั้น ภาพของหนังเรื่องนี้ก็มีศักยภาพที่จะน่าทึ่งและเหลือเชื่อทีเดียวล่ะค่ะ Q: คุณจะบอกได้มั้ยว่ามันเป็นเรื่องราวความรักตามแบบฉบับที่คลาสสิก A: ใช่ค่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นไปตามแบบฉบับมากๆ เหมือนการพรากคู่รักให้แยกจากกันและท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้อยู่คู่กัน สิ่งที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องราวนี้คือการที่ฝ่ายชายต้องสู้เพื่อคนรักของเขา ปกติแล้ว ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายไล่ตามผู้ชาย แต่ในหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่เธอประสบอุบัติเหตุมา เธอก็เลยจำเขาไม่ได้ เขาเลยต้องพยายามครั้งใหญ่ เพื่อให้ได้หาเธอจนพบและทำให้เธอรำลึกถึงสิ่งที่พวกเขามีร่วมกัน ฉันก็เลยชอบที่มีการสลับบทบาทกันน่ะค่ะ Q: มันเป็นหนังแฟนตาซีหรือบางคนอาจะเรียกมันว่าหนังไซไฟก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว คุณชื่นชอบหนังสือหรือหนังแฟนตาซีสมัยเป็นเด็กรึเปล่า A: แน่นอนค่ะ ฉันชื่นชอบเรื่องราวอย่าง The Princess Bride, The Never-ending Story และอะไรทำนองนั้น...อีเดน ตัวละครของฉัน เธอเป็นเจ้าหญิงของเรื่องค่ะ มันเป็นอะไรที่...มีธีมทั้งหมดนั่นอยู่ในนั้น แต่ฉันคิดว่าถ้าเป็นหนังเรื่องนี้ล่ะก็ มันก็สามารถเป็นเทพนิยายที่พิเศษสุดท่ามกลางเรื่องราวพวกนั้น และ Edward Scissorhands ก็เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของฉันด้วย ฉันมักจะนึกถึงหนังเรื่องนั้นเสมอตอนที่เรากำลังถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เพราะมันอาจจะเป็นหนังที่มีความจริงที่เป็นแฟนตาซีก็ได้ Q: ฮวนบอกว่า...ตอนที่เราถามเขาว่ามีหนังเรื่องอื่นๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขารึเปล่า เขาบอกว่าไม่มีเรื่องไหนเป็นพิเศษ แต่มันเป็นหนังครอบครัวประเภทเดียวกับที่เขาพูดถึง ซึ่งก็คือ... A: มันมีทั้งความมืดหม่นและความรู้สึกเศร้าสลดแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวความรักก็ตาม มันมีความมืดหม่นที่แท้จริงแต่ก็มีอารมณ์ขันสนุกสนานหมือนกัน ตอนที่ฉันเห็นช็อตจากหนังเรื่องนี้ มันจะเหมือนคุณได้เห็นคนสองคนที่รักกัน และมันก็งดงาม ทั้งในเรื่องของการให้แสงและทุกๆ อย่าง แล้วมันก็มีคุณสมบัติที่หลอนด้วยค่ะ ฉันคิดว่า...เลเยอร์พวกนั้น ถ้าทำออกมาได้ดี มันก็จะทำให้เกิดรายละเอียดที่งดงาม ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การดูหนังพวกนี้มหัศจรรย์เหลือเกิน Q: อยากให้เล่าถึงบทบาทของอีเดนที่คุณได้รับ A: หนังเริ่มต้นตอนเธอยังเล็กมากๆ ค่ะ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือเธอได้พบกับ อดัม ตัวละครของ จิม ผู้ชายจากอีกโลกหนึ่ง และเธอก็บังเอิญเจออุบัติเหตุร้ายแรง ที่ทำให้เธอความจำเสื่อม และนั่นก็ จริงๆ แล้ว...ฉันกำลังหาคำเหมาะๆ อยู่น่ะค่ะ...เอ่อ...อุบัติเหตุที่เกิดกับอีเดน ซึ่งทำให้เธอเกิดความจำเสื่อม ส่งอิทธิพลต่อวิธีที่ฉันสวมบทนี้ เพราะเธอมักจะใช้ชีวิตอยู่กับความว่างเปล่า ที่เธอไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงหรือรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรืออะไรที่ปิดกั้นความจำเธอไว้ จิตใต้สำนึกเธอปิดกั้นมันไว้ค่ะ ดังนั้น ฉันก็เลยคิดว่าเธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน..ที่อยากจะเฉลิมฉลองและสนุกสนาน เธอจะลืมตัวเองไปกับสิ่งที่เธอทำ เช่นการเต้นแทงโก้ งานของเธอต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก ฉันเลยคิดว่าเธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะเธอไม่ค่อยจำอะไร เพราะเธอมีอยู่แค่นั้นค่ะ ฉันคิดว่าเธอมีความเศร้าสร้อยเพราะเรื่องนั้นค่ะ Q: เธอเป็นตัวแทนโลกของเธอในแง่ที่มีสองโลกแยกจากกันรึเปล่า… A: ฉันคิดว่าอีเดนรู้สึกผูกพันกับโลกด้านล่าง และไม่รู้ว่าทำไมเกือบตลอดช่วงอายุผู้ใหญ่ของเธอเพราะเธอจำไม่ได้ แต่ด้วยความที่เธอเป็นเจ้าหญิงของเรื่องราว เธอก็เลยไม่ได้...เธอใจดีกับคนอื่นและไม่เห็นด้วยกับกฎระเบียบและวิถีของโลกด้านบน เธอมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นและเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากๆ ค่ะ ฉันเลยคิดว่าเธอเป็นเหมือนปลาพ้นน้ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอโดดเด่นและ พิเศษสุด และเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งคู่ลงเอยด้วยการเปลี่ยนแปลงกระแสประวัติศาสตร์ด้วยกันค่ะ Q: คุณรู้สึกมั้ยว่าคุณกับอีเดนมีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกัน A: ฉันคิดว่าคนเราสนใจแต่ละบทด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันและพวกเขาอยากจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างและอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเหล่านั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันสามารถเข้าถึงได้เพราะฉันอยากจะสวมบทนี้ มันมีแก่นสำคัญอะไรบางอย่างในนั้นค่ะ Q: แล้วเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกวิชวล ที่ไม่มีอยู่จริง แต่อยู่บนกรีนสกรีนหรือแค่ในภาพวาดล่ะ คุณทำได้ยังไง...หรือว่าคุณต้องใช้วิธีการแสดงที่แตกต่างออกไป เพื่อที่คุณจะดำดิ่งลงไปในโลกใบนั้นได้โดยไม่ต้องมองเห็นมันจริงๆ ล่ะ A: ฉันเคยแสดงหนังที่มีกรีนสกรีนมาพอสมควร ดังนั้น ฉันก็เลยเคยชินกับการแสดงกับความว่างเปล่าค่ะ และในฐานะนักแสดง มันไม่ใช่เหตุผลที่คุณทำในสิ่งที่คุณทำแต่มันเป็นเพื่อบอกเล่าเรื่องราว และสำหรับบางช็อต เราต้อง...ฉันแบบว่า...มีซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายบทตะโกนบอกบทฉันนอกจอ และฉันก็ต้องใช้จินตนาการ ซึ่งบางครั้ง มันก็สนุกดีเหมือนกันเพราะคุณสามารถจินตนาการอะไรก็ได้ แต่พอถึงฉากอารมณ์ มันก็อาจจะ...มันอาจแบนราบได้เพราะคุณไม่มีใครอยู่ตรงนั้นกับคุณ บางครั้ง มันก็น่าหงุดหงิดแต่คุณก็ต้องใช้จินตนาการของคุณเพื่อเข้าถึงมัน เป็นห้วงความคิดที่คุณจะเชื่อในสิ่งนั้นได้ค่ะ Q: ในแง่ของจินตนาการ โลกใบนี้...คุณเห็นภาพวาดของอเล็กซ์มั้ย... A: ฉันได้เห็นภาพวาดมากมายค่ะ แม้กระทั่งครั้งแรกที่เราได้พบกัน ฮวนโชว์ภาพต่างๆ ให้ฉันดู และฉันก็ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น เขาต้องวางแผนช็อตที่ซับซ้อนของฉันและอดัม ที่อยู่กันคนละแรงดึงดูดบนภูเขาพวกนี้ ที่เราได้พบกันบนยอดสูงสุดของภูเขา แล้วมันก็มีช็อตซับซ้อนพวกนี้ ที่ล้อมรอบเรา ตอนที่เราอยู่กันคนละโลก เขาโชว์ภาพให้ฉันเห็นเป็นกองเลยค่ะ มันเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงมากๆ Q: ในตอนที่คุณพูดถึงวิธีที่ทีมงานออกแบบช็อตพวกนี้...แรงดึงดูดมีบทบาทอะไรในหนังเรื่องนี้ มันดูเหมือนจะมีบทบาทใหญ่กว่าอย่างอื่น A: บอกตามตรงนะคะ สำหรับฉัน มันเป็นกรีนสกรีน เราจะทำช็อตม็อคคาพิเศษ ที่เราจะถ่ายทำส่วนของฉันครึ่งวัน แล้วก็ถ่ายทำส่วนของจิมอีกครึ่งวัน ซึ่งกล้องก็จะรู้วิธีเลียนแบบให้ได้ช็อตแบบเดียวกันออกมา เพื่อที่เราจะได้ปรับมันให้เป็นตรงกันข้ามได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ ในการไปโลกของฉันหรือโลกของเรา เราก็จะพลิกภาพกลับไปกลับมาได้ แต่เอ่อ...ฉันคงต้องบอกว่าในแง่ของแรงดึงดูด เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันไปเยี่ยมเขาที่โลกของเขา ผมฉันจะต้องอยู่ด้านหลัง เพื่อที่มันจะไม่ลอยขึ้นไป อะไรแบบนั้นเป็นเรื่องตลกที่ต้องถ่ายทอดออกมาค่ะ อย่างการที่ฉันจะไม่มีทางสวมกระโปรงหรือชุดเดรสตอนที่ฉันไปเยี่ยมเขาเพราะไม่งั้นกระโปรงก็จะเปิดค่ะ ดังนั้น เราก็เลยต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ค่ะ ส่วนจิมไม่มีปัญหาเพราะเขาไว้ผมสั้น มันก็เลยไม่เป็นไรค่ะ เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ฉันจะต้องสไลซ์ผมขึ้นบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะดูตลกจริงๆ ค่ะ Q: แล้วพวกระดับสายตาล่ะ คุณคิดว่าอะไรเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการต้องทำงานในสถานการณ์แรงดึงดูดตรงกันข้าม แบบห้อยหัวน่ะ A: เราไม่ได้...ฉันหมายถึงว่าทุกอย่างเป็นเรื่องงานสร้างสรรค์ทั้งนั้น มันไม่ได้เหมือนกับว่าเราทำงานอยู่ในแรงดึงดูดที่แตกต่างกันจริงๆ แต่ในแง่ของตรงนั้น ฉันไม่ต้อง...จริงๆ แล้วจิมต้องแสดงฉากแบบห้อยหัวด้วยนะคะ ฉันคิดว่าเข่าของเขาถูกล็อคติดกับเสา หรืออะไรทำนองนั้น เกือบจะเหมือนที่ฟิตเนสเลยค่ะ เขาต้องแสดงฉากแบบห้อยหัว ซึ่งฉันไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น ดังนั้น... Q: ไม่มีฉากผาดโผน A: ฉันหมายถึง เราได้ลอยบนฟ้าหรืออะไรทำนองนั้น แต่ฉันก็ทำอะไรแบบนั้นมาก่อน (หัวเราะ) มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ มีบางฉากตอนที่เราอายุน้อยกว่าและอยู่ด้วยกัน ฉันอยู่บนไหล่ของอดัม และแรงดึงดูดของเราก็ต้านกันเอง เราสามารถลอยตัว กระโดดได้สูงขึ้นและทำอะไรต่อมิอะไรแบบเด็กๆ เพื่อท้าทายแรงดึงดูดด้วยกันน่ะค่ะ ดังนั้น เราก็เลยมีฉากที่เราสนุกกันและควบคุมแรงดึงดูดของเราน่ะค่ะ Q: พูดถึงการทำงานกับแรงดึงดูด หรือการทำงานกับจิม ตอนที่พวกคุณลอยตัว มันเป็นยังไงบ้าง... A: มันตลกดีนะคะ ฉันดีใจที่คุณพูดถึงเรื่องนี้ ฉันกับจิมเข้ากันได้ดีมากๆ ฉันรู้สึกเหมือนว่า คือฉันมองเขาเป็นเหมือนน้องชายค่ะ ฉันรักเขาจริงๆ นะคะ เขาเป็นคนดีที่น่ารักและเป็นนักแสดงที่เก่งเหลือเกิน ฉันก็เลยแคร์เขามาก ฉันคิดว่าเรามีปฏิกิริยาเคมีที่เข้ากันได้ เพราะฉันแคร์เขาจริงๆ แล้วการร่วมงานกับจิมก็เป็นเรื่องง่ายมากๆ ด้วยเพราะเขาเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยม ฉันรู้สึกเหมือนเราสวมบทนี้ได้อย่างง่ายดาย และเราก็คิดอ่านเหมือนๆ กัน ทั้งในแง่ของการซ้อม การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เพื่อทำให้หนังดีขึ้น เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยม เขาเป็นคนดีเหลือเกิน ฉันรู้สึกรักเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ Q: คุณพบว่าพวกคุณมีสไตล์การทำงานที่คล้ายกันในฐานะนักแสดงรึเปล่า A: ฉันคิดว่าในแง่หนึ่ง เราทั้งคู่ก็เหมือนกับคอยดูแลกันและกันค่ะ เราไม่ใช่นักแสดงที่เห็นแก่ตัวและเราทั้งคู่ก็มาอยู่ตรงนี้เพื่อทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเยี่ยมมากจริงๆ ไม่ขี้เกียจเลยค่ะ ฉันดีใจมากที่ฉันได้ร่วมงานกับเขา Q: มีฉากไหนบ้างมั้ยที่พวกคุณได้แสดงด้วยกัน ที่น่าจดจำเป็นพิเศษ A: ฉากที่สวยงามจริงๆ จะเป็นฉากตอนที่ฉันอยู่บนไหล่ของเขาและเราก็...ฉันกับจิมจะฝึกซ้อมกันแล้วเราก็จะเย้าแหย่กันทำนองว่า มันประหลาดมากที่ฉันอยู่บนไหล่ของคุณแล้วเราก็ลอยอยู่ในอากาศ ฉันอยู่บนไหล่เขาเหมือนเด็กๆ เลยค่ะ แล้วพอเราได้เห็นภาพนี้ เราก็หัวเราะกันยกใหญ่ แล้วมันก็มีหิมะสวยๆ ในป่า ซึ่งดูงดงามมากๆ ฉันคิดว่ามันเป็นฉากโปรดของฉันเพราะเราหัวเราะกัน มันดูน่ารักและสนุกจริงๆ ค่ะ Q: มันทำให้คุณนึกถึง เอ่อ ลักษณะที่คุณพูดถึงทำให้เรานึกถึงซูเปอร์แมน ตอนเขาอุ้มโลอิส เลนอยู่ในอ้อมแขน มันเป็นการใช้ฉากหลังเป็นสีเขียวแบบเก่า แบบที่ไม่ใช่กรีนสกรีนด้วยซ้ำไปล่ะมั้ง A: ใช่ค่ะ หนังเรื่องนี้ดูแตกต่างเยอะเลยค่ะ Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของฮวน อยากให้พูดถึงการร่วมงานครั้งแรกของคุณกับฮวน A: เขามีจิตวิญญาณที่ดีค่ะ! ฉันหมายถึงว่าเขาน่ารักที่สุด...เขามีคุณสมบัติเหมือนเด็กๆ ที่ดึงดูดคุณในทันที คุณอาจจะก้าวเข้าไปในฉากด้วยอารมณ์หงุดหงิดหรืออะไรก็ตาม แต่ฮวนจะทำให้คุณมีความสุขค่ะ แค่มองหน้าเขาก็ทำให้คุณมีความสุขแล้ว เขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและ...มันอาจจะเป็นเชื้อสายอาร์เจนไตน์ในตัวเขาหรืออะไรซักอย่าง เขาเพิ่งเรียนภาษาอังกฤษมาประมาณสามเดือนเท่านั้นเอง เขาก็เลยยังไม่เก่งเท่าไหร่ แต่เขาสามารถอธิบายทุกอย่างได้ค่อนข้างดีเพราะเขาเป็นคนที่แสดงออกทางคำพูด ทางมือ และทุกอย่างเลย เขาก็เลยพยายาม (ออกท่าทาง)เพื่อให้ฉันเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่เขาก็มักจะเป็นแบบ ทำมือทำไม้ตลอดเวลา มันน่าทึ่งมากค่ะ! แล้วเขาก็พูดเก่งมากๆ แล้วเขาก็เป็นคนทุ่มเทมากๆ ฉันก็เลยรู้เลยว่าฉันจะได้ทำงานกับศิลปินตัวจริง Q: มีตอนไหนบ้างมั้ยที่กำแพงภาษาเป็นปัญหาขึ้นมา ตอนที่เขาไม่สามารถถ่ายทอดไอเดียให้คุณรับรู้ หรือในทางกลับกันน่ะ A: บางครั้ง ฉันเสนออะไรบางอย่างออกไป ซึ่งฉันก็รู้ว่ามันผ่านเลยเขาไป ดังนั้น บางครั้ง ฉันก็เลยคิดว่ามันมีกำแพงภาษา แต่มันไม่ได้มาขวางกั้นการทำงานของเราค่ะ มันเป็นเหมือนกับว่า เราจะ เราทำแบบนั้นได้มั้ย แล้วเราก็ไม่เคยทำค่ะ ฉันก็แบบ โอเค บางทีเขาอาจจะแค่ไม่เข้าใจฉันก็ได้ แต่ไม่มีอะไรที่จริงจังนะคะ เป็นเรื่องตลกๆ มากกว่า Q : ด้วยความที่เขาเป็นทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับ นั่นเป็นเรื่องดีรึเปล่า การได้ร่วมงานกับคนที่คิดเรื่องราวนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องทีดีกว่าสำหรับคุณรึเปล่า A: ฉันคิดเสมอว่าเรื่องราวนี้มันใกล้ชิดกับเขามากกว่าเพราะเขาเป็นคนเขียนและแปลมัน ดังนั้น เรื่องราวนี้ก็อยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลา ซึ่งฉันคิดว่ามันมีส่วนช่วยในเรื่องของเรื่องราวได้จริงๆ และความผูกพันระหว่างเขากับมันก็มีแต่จะทำให้เรื่องราวนี้ทรงพลังยิ่งขึ้น ฉันหมายถึงนี่เป็นโปรเจ็กต์ลูกรักของเขา มันมีความหมายกับเขามากค่ะ Q: ตอนนี้ คุณได้ร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ มาเยอะ แล้วสไตล์การกำกับของเขามีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษมั้ย A: เอ่อ ฉันกำลังพยายามคิดอยู่ค่ะ...ฉันคิดว่าสำหรับฮวนแล้ว...ฉันสังเกตว่าผู้กำกับที่ดีที่สุดที่ฉันได้ร่วมงานด้วยจะเป็นผู้สร้างพลังงานขึ้นมาในกองถ่าย พวกเขาเป็นคนที่ช่วยกำหนดโทนขึ้นมา ฉันคิดว่าทุกครั้งที่ฉันไปกองถ่ายแล้วพบฮวน เขาจะเสนอแนะสิ่งต่างๆ...และลักษณะที่เขาเสนอแนะด้วยความกระตือรือร้นอย่างมากจน...คุณจะอยากทำงานให้ออกมาดีที่สุดเพื่อเขา เขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณในแง่นั้นค่ะ เขาเป็นคนเก่งค่ะ Q: เราได้คุยกับจิม เขาบอกว่ามันมีการอิมโพรไวส์นิดหน่อย และเขาก็ได้อิมโพรไวส์กับคุณด้วย แล้วคุณมีโอกาสทำแบบเดียวกันรึเปล่า A: เราซ้อมกันและจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ค่ะ ปกติแล้ว ฉันจะเปลี่ยนแปลงบทนิดๆ แต่เราก็พัฒนาขึ้นมาเยอะค่ะ บางครั้ง ฉากของฉันกับจิมก็เป็นเรื่องทางเทคนิคมากเพราะพวกเขาจะต้องกำหนดจุดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเนื้อเรื่อง ที่เราต้องยึดติดกับหลายๆ ฉากของเรา แต่ตอนที่เราเป็นเด็กหรืออะไรประมาณนั้น เราก็มีโอกาสที่จะอิมโพรไวส์ค่ะ Q: แล้วคุณก็ได้เล่นเป็นตัวเองตอนเด็กด้วย คนที่แสดงในฉากวัยเด็กเป็นพวกคุณใช่มั้ย A: ฉันได้เด็กหญิงคนหนึ่งที่น่ารักมาก มารับบทฉันในวัยเด็กและฉันก็คิดว่าเธอน่าจะเล่นเป็นฉันตอนอายุสิบสอง ฉันจะแสดงเองตอนอายุประมาณสิบเจ็ดค่ะ Q: ในหนังแบบนี้ ในบรรดาหนังหลากหลายประเภทที่คุณเคยแสดงมา มันมีทั้งหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ มีหนังอินดีจากผู้กำกับออเทอร์ ตอนที่คุณอ่านบทหรือตอนที่คุณพิจารณาหนัง ถึงตอนนี้คุณสามารถเลือกเล่นอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ...แล้วอะไรที่ผลักดันคุณหรือเป็นแรงจูงใจให้คุณเลือกทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษล่ะ A: ฉันจะต้องมีอารมณ์ตอบสนองต่อเรื่องราวและบทที่ฉันจะต้องเล่นค่ะ แล้วผู้กำกับก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน เพราะคุณอาจจะมีบทที่งั้นๆ ก็ได้ แต่ถ้าคุณมีผู้กำกับเก่งๆ ฉันก็จะเล่นอยู่ดี...ฉันหมายถึงโดยส่วนตัวแล้วนะคะ เพราะผู้กำกับเป็นคนคุมหนังทั้งเรื่องค่ะ คุณสามารถเปลี่ยนแปลงฉาก เปลี่ยนแปลงไดอะล็อคได้ตลอด...ฉันก็เลยจะดูจากผู้กำกับก่อนที่ฉันจะดูบทค่ะ เพราะฉันก็อยากจะให้ได้ทั้งสองอย่าง แต่แม้ว่ามันจะเป็นบทที่เหลือเชื่อ ถ้าผู้กำกับไม่เก่ง มันก็จะไม่มีทางเวิร์คหรอกค่ะ ฉันคิดอย่างนั้น...ดังนั้น เว้นแต่นักแสดงจะเริ่มกำกับหนังด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยค่ะ Q: แล้วเรื่องโลเกชันล่ะ การถ่ายทำในมอนทรีอัลเป็นยังไงบ้าง A: ฉันรักมอนทรีอัลค่ะ ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในย่านที่สวยงาม แต่อากาศไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ตั้งแต่ฉันมาถึงที่นี่ อากาศก็หนาวตลอด ฉันคิดว่าเราน่าจะมีวันที่อากาศร้อนแค่วันสองวันเองมั้งคะ... แต่ฉันชอบมอนทรีอัลจริงๆ นะคะ ฉันสนุกมากที่นี่และได้ไปดูคอนเสิร์ตเยี่ยมๆ ที่นี่ด้วย อาหารที่นี่ก็อร่อย เว้นแต่เรื่องอากาศเท่านั้นแหละ Q: ด้วยความที่หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า Upside Down ในความทรงจำของคุณ คุณมีประสบการณ์ตอนไหนมั้ยที่คุณได้ห้อยหัว แล้วมันตราตรึงในความทรงจำคุณน่ะ A: พ่อฉันเคยจับฉันห้อยหัวแล้วจั๊กจี้ฉันค่ะ แล้วฉันก็นึกถึงอาการคลื่นไส้ด้วย สิ่งที่ตลกสำหรับฉันก็คือฉันได้แสดงหนังอีกเรื่องที่ฉันต้องจูบคนกลับหัว ฉันเคยทำแบบนี้มาแล้วใน Spiderman ไงคะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะได้ทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง Q: คำถามสุดท้ายแล้ว คุณหวังว่าผู้ชมจะได้อะไรกลับไปจากหนังเรื่องนี้บ้าง ด้วยความที่หนังที่ดีที่สุดคือหนังที่คุณจะพูดถึงหลังจากจบเรื่องไปแล้ว คุณหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดบทสนทนาแบบไหนได้บ้าง A: ฉันหวังว่า..คือวันนี้ฉันเพิ่งคุยกับเพื่อนทางโทรศัพท์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ แล้วฉันก็พูดทำนองว่า สิ่งที่ฉันหวังว่าคนจะได้รับจากมัน ซึ่งฉันก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ คือมันเป็นหนังที่คุณสามารถไปดูกับครอบครัวได้ เป็นหนังโรแมนติกที่มีภาพที่สวยงามจนสามารถสะกดคนดูให้เคลิบเคลิ้มไปตลอดการรับชม และมันน่าจะเป็นกำลังใจให้คู่รักหลายๆ คู่สามาถฝ่าฝันอุปสรรคหรือปัญหาต่างๆ ไปได้ อยากให้ลองติดตามกันดูค่ะ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ