กรุงเทพฯ--29 ต.ค.-- บางจากปิโตรเลียม
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้อำนวยการอาวุโสสายตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายน้ำมันกรีนพลัสไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นน้ำมันมีต้นทุนการผลิตสูง จึงต้องทำยอดขายให้มากเพื่อถั่วเฉลี่ยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับน้ำมันชนิดนี้เน้นการประหยัดเหมาะสมกับสภาพตลาดในปัจจุบันที่ราคาน้ำมันแพง ผู้บริโภคต้องการประหยัดการใช้น้ำมัน และยังเป็นน้ำมันที่รักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
“ที่ผ่านมาราคาน้ำมันเบนซินในประเทศได้มีการปรับตัวมากถึง 9 ครั้ง รวม 5.40 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาสูงมาก น้ำมันชนิดนี้จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้รถยนต์ในภาวะที่ราคาน้ำมันแพงให้ใช้น้ำมันได้ประหยัดขึ้น” นายยอดพจน์ กล่าว
กรีนพลัสเป็นน้ำมันเบนซินพรีเมี่ยมเกรด ผสมสารเพิ่มประสิทธิภาพ SCSS (Super Clean for Super Save) มีคุณสมบัติที่ชะล้างความสกปรก และคงความสะอาดให้หัวฉีดน้ำมัน และวาล์วไอดี ทำให้การเผาไหม้ในเครื่องยนต์สมบูรณ์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประหยัดกว่าเบนซินทั่วไป
แผนการขายน้ำมันตัวใหม่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. เป็นต้นไป ใน 800 ปั๊มของบางจากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ลูกค้าที่ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 และ 95 และจะใช้งบในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 30 ล้านบาท และจะมีการทำโปรโมชั่นเติมน้ำมัน 400 บาท จะลุ้นคูปองเติมน้ำมันฟรี 400 บาททันที ซึ่งเป็นโปรโมชั่นที่ได้ผลมากกับการทำการตลาดของน้ำมันดีเซล พาวเวอร์ ดี ก่อนหน้านี้
นายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากตัวเลขของกรมธุรกิจพลังงานชี้ว่า ในรอบ 8 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันในประเทศของบางจาก เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยเพิ่มจาก 11.2% เป็น 12.2% และยอดขายผ่านปั๊มเพิ่มขึ้น 10.8% จาก 165.6 ล้านลิตร เป็น 149.5 ล้านลิตร ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 4 โดยมี ปตท. เป็นอันดับที่ 1 มีส่วนแบ่งการตลาด 29.1% ตามด้วย เอสโซ่ 18.5% และเชลล์ 16.7% ส่วนคาลเท็กซ์ 7.1% ยอดขายน้ำมันผ่านปั๊มรวม เพิ่มขึ้น 1.8% จาก 1,338.7 ล้านลิตร เป็น 1,362.6 ล้านลิตร
ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจาก บางจากได้มีการพัฒนาน้ำมันชนิดใหม่ คือ ดีเซล พาวเวอร์ ดี ซึ่งเป็นน้ำมันกำมะถันต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ทำให้ยอดการขายน้ำมันดีเซลของบางจากเพิ่มขึ้นถึง 20% มีการนำแก๊สโซฮอล์เข้ามาขายในปั๊มเป็นรายแรกและปัจจุบันมีขายมากที่สุดในปั๊มเมื่อเทียบกับรายอื่น
มีการปรับปรุงปั๊มที่อยู่บริเวณเส้นทางเข้าออกกรุงเทพฯ มีการออกแคมเปญส่งเสริมการตลาดต่างๆ และมีการนำสินค้าโอทอปเข้ามาขายในปั๊มซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าในเขตกรุงเทพฯมาก เพราะมีสินค้าที่แตกต่างจากบริษัทน้ำมันอื่น
สำหรับปริมาณการขายรวมทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 3,600 ล้านลิตร จากช่วงเดียวกันปีก่อน 3,232 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 10.6% โดยปริมาณการขายของน้ำมันดีเซลเพิ่มในอัตราที่มากสุด มีปริมาณการขาย 1,584
ล้านลิตร จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มียอดขาย 1,442 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 9.8% ซึ่งโตกว่าการเติบโตของจีดีพี ในขณะที่เบนซิน เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยเพิ่มขึ้น 3.6% จากปริมาณขาย 656 ล้านลิตร จากช่วงเดียวกันปีก่อนยอดขาย 631 ล้านลิตร
นายวิเชียร กล่าวว่า ปกติการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันจะเป็นไปตามจีดีพี และอัตราเติบโตของดีเซล และเบนซิน จะโตในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้มากจากมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาลในจำนวนที่มากเกินไปและเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผู้ที่ใช้น้ำมันเบนซินเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคมาใช้น้ำมันดีเซลแทน และผู้ที่จะซื้อรถยนต์ใหม่จะเลือกซื้อรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลมากกว่าเบนซิน
นายวิเชียร กล่าวว่า การแข่งขันในตลาดน้ำมันยังคงรุนแรง และราคาจะอยู่ในระดับสูงต่อไป ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการปิดปั๊มตั้งแต่ 24.00-06.00 น. ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้น้ำมันลง นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้เจ้าของปั๊มบางรายไม่มีสภาพคล่องมากพอที่จะซื้อน้ำมันมาเก็บไว้ในปั๊มในปริมาณที่เพียงพอ
บริษัทน้ำมันรายใหญ่ๆมีการปรับตัวมากขึ้น บางรายปรับปรุงภาพลักษณ์ของปั๊ม คุณภาพของน้ำมัน การบริการ การปรับปรุงมินิมาร์ท และธุรกิจเสริมซึ่งมีการดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมทุน บางรายมีการบริหารปั๊มในเส้นทางหลักด้วยตัวเองเพื่อสร้างยอดขาย
สำหรับบางจากในปีหน้ามีแผนที่จะลงทุนขยายปั๊มน้ำมันใหม่ในถนนสายหลักโดยที่จะบริหารเอง
ปรับปรุงปั๊มในสวนในเขตกรุงเทพ และปริมาณฑล ซึ่งมีอยู่ 190 แห่ง ให้ได้ 50 แห่งในปีนี้ และจะทำได้หมดในไตรมาสสองของปีหน้า จะเพิ่มขยายการขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไปยังต่างจังหวัดในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ครบ 300 แห่งภายในสิ้นปีนี้ และโดยในวันที่ 1 พ.ย. จะขายแก๊สโซฮอล์ให้ครบทุกปั๊มที่อยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จะเริ่มโครงการฟลีทการ์ด ให้แก่บริษัททั่วไปในต้นปีหน้า และจะมีการตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงานบริการขึ้น--จบ--