กรุงเทพฯ--4 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
พิธีกร
เมื่อ 27 ปีที่แล้ว คุณโด่งดังจากบทเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ในบท สวีเหวินเฉียง 27 ปีต่อมา คุณได้กลับมารับบทเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ที่มีตัวตนจริง ๆ ตัวจริง อย่าง เฉิงต้าชี่ คิดว่ามันเป็นโชคชะตารึเปล่าคะ?
โจว
ก่อนอื่นต้องขอบคุณผู้กำกับหวังจิ้ง และ แอนดรูว์ เลา ที่ให้โอกาสผม เพราะว่าบทสวี่เหวินเฉียง กับ เฉิงต้าชี่ มันก็มีจุดที่แตกต่างกันไปมาก สวี่เหวินเฉียงคือปัญญาชนสุภาพบุรุษที่หันมาเป็นมาเฟีย เขาเป็นที่รักของทุกคนแต่สุดท้าย สิ่งนั้นก็กลับมาทำลายเขา ส่วนบท เฉิงต้าชี่ ใน THE LAST TYCOON : เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนสุดท้าย เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนสูง เขาเริ่มต้นด้วยความใสซื่อ เติบโตเพราะโดนหักหลัง ไต่เต้าขึ้นมายืนแถวหน้าด้วยความภักดี และยืนหยัดเป็นเบอร์หนึ่งได้ด้วยความเด็ดขาดยึดมั่นในสัจจะ แต่เบื้องหลังของการขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อตัวจริงของเซียงไฮ้ เขาต้องทิ้งหัวใจและความรักเอาไว้ข้างหลัง เพราะมันเป็นจุดอ่อนเดียวของการเดินไปข้างหน้าต้องขอบคุณผู้กำกับที่ให้โอกาส เพราะหนังที่ซับซ้อน ยิ่งมีโอกาสแสดงความสามารถ แล้วก็ได้แสดงกับนักแสดงดีๆอีกหลายคน ผมเองก็ได้เรียนรู้จากพวกเขาไม่น้อย
พิธีกร
แล้วบทบาทในตัวละคร มีความคล้ายคลึงกับโจวเหวินฟะตัวจริงบ้างมั้ยคะ?
โจว
ไม่เหมือนเลยครับ เพราะผมคงไม่เสียสละความรักเพื่อการเดินไปข้างหน้า ถ้าจะเหมือนกันก็คงเป็นตรงที่การรักพวกพ้อง
พิธีกร
แปลว่าคุณเข้าถึงตัวละครผ่านบทภาพยนตร์เท่านั้น?
โจว
ใช่ครับ แล้วก็มีความเห็นจากผู้กำกับที่คอยบอก ต้องขอบคุณมากๆเลย
พิธีกร
เราทราบกันดีว่าคุณเคยแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดมา ไม่ทราบว่าแตกต่างกับภาพยนตร์เอเชียยังไงบ้างคะ?
โจว
ฮอลลีวู้ดจะค่อนมีระเบียบข้างตายตัว คือถ้าบอก 1 2 3 ก็คือต้อง 1 2 3 เราแสดงนอกบทไม่ได้เลย แต่เอเชีย 1 2 3 ยังอาจมี 4 5 6 หรือ 7 8 9 ได้เราสามารถปรับอะไรได้บ้างโดยคุยกับผู้กำกับที่หน้ากล้องได้เลย เลยไม่เหมือนกัน อย่างฮอลลีวู้ดนี่ ไดอะล๊อกจะแก้ไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ถ้าจะแก้ต้องหารือกับคนเขียนบท กับผู้กำกับก่อน คือมีระบบการทำงานที่แตกต่าง
พิธีกร
THE LAST TYCOON ใช้ทุนสร้างสูงถึง 700 ล้านบาท โดยสร้างเมืองใหม่และ ฉากใหญ่ขึ้นมาใหม่หมด ได้ยินมาว่ามีอยู่ฉากหนึ่งที่คุณอินมากจนน้ำตาไหล ซึ่งถือว่าเป็นการอินนอกบทใช่ไหมค่ะ
โจว
ในหนังเรื่องนี้มีทั้งฉากที่ผมสะใจ และ ที่ผมอิน ฉากที่ผมสะใจที่สุดน่าจะเป็นเหตุการณ์ในถนนนานกิง ที่มีการใช้ระเบิดเยอะมาก เป็นเหมือนฉากสงครามแรกของแก๊งมาเฟีย ที่ทำให้คนรู้จักชื่อของ เฉิงต้าชี่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการไต่เต้าขึ้นเป็นเจ้าพ่อ ส่วนฉากที่อินจนทุกคนล้อเรื่องร้องไห้ ก็คือฉากที่ต้องกลับมาเจอกับคนรักคนแรก ผู้หญิงที่ เฉิงต้าชี่ ทิ้งความรักของเขาและเธอไว้ข้างหลัง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยหยุดคิดถึงเธอเลยสักวัน ที่ผมร้องไห้ให้ฉากนี้เพราะจริง ๆ แล้วผมรู้สึกจริง ๆ ว่า ความสำเร็จของการเป็นเจ้าพ่อต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน มันก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว
พิธีกร
ในเรื่องนี้ คุณเหมือนเป็นพี่ใหญ่ที่ต้องแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่น ได้ยินมาว่าพวกเขาเกรงใจคุณมาก คุณมีเคล็ดลับอะไรในการเข้าฉากร่วมกันบ้างหรือเปล่า ?
โจว
เคล็ดลับง่าย ๆ ครับ นักแสดงทุกคนที่แสดงร่วมกัน เหมือนเป็นอาจารย์ เพราะว่าในตัวนักแสดงทุกคนไม่ว่าหนุ่มสาว คนแก่ เด็ก หรือว่าวัยรุ่น ผมก็ได้เรียนรู้จากเขาทั้งนั้น เพราะทุกคนมีสไตล์การแสดงที่ไม่เหมือนกัน การได้อยู่กับพวกเขาเป็นความสุข และเป็นการเรียนรู้ เผมเข้าวงการมาก็มีแต่การเรียนรู้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเรียนรู้อยู่ หลายคนบอกว่าเข้าฉากกับผมแล้วสั่น ที่จริงผมต่างหากที่เห็นพวกเขาแล้วสั่น เพราะผมรู้สึกไม่อยากจะพลาด แต่ที่จริงบางทีก็จำบทไม่ได้ ภาษาจีนกลางก็พูดไม่ชัด ดังนั้นผมยังกดดันกว่าพวกเขา เพราะภาษาจีนกลางแค่งูๆปลาๆ ดังนั้นไปถ่ายในแผ่นดินใหญ่ ผมจะกดดันกว่าถ่ายของฮ่องกง ที่จริงพวกเขาไม่รู้ว่า เวลาผมยิ้มบางทีในใจก็สั่น เพราะกลัวจะออกเสียงไม่ชัด แล้วจะส่งผลเสียต่อการแสดงของพวกเขา
พิธีกร
ในเรื่องหวงเสี่ยวหมิงแสดงเป็นคุณตอนวัยรุ่น คุณคิดว่าเขามีส่วนไหนที่คล้ายคุณบ้าง บวกกับคุณมีฉากเลิฟซีนกับนักแสดงหญิงหลายคนอย่างคุณหยวนฉวน หรือว่าคุณม่อเสี่ยวฉี อยากให้บรรยายความรู้สึกตอนนั้น กับความรู้สึกตอนที่มาดูแล้วว่าเป็นยังไง
โจว
เรื่องเลิฟซีนถามภรรยาในเรื่องผมดีกว่า ส่วนเสี่ยวหมิง เพราะเขาเป็นนักแสดงจีนคนแรกที่แสดงเป็นสวี่เหวินเฉียง บทเดิมที่ผมเคยเล่นในซีรีส์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ แล้วเขาก็ดูหนังที่ผมแสดงมาเยอะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด การแสดง ก็เหมือนกับผมมาก สำหรับผมแล้วเขาเป็นนักแสดงที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ เขาเป็นคนหนุ่มที่แสดงได้ดี รูปร่างก็ดี แถมยังหล่อด้วย รูปร่างดีมาก ดีกว่าผมอีก ผมคิดว่าเป็นนักแสดงจีนที่โดดเด่นและอนาคตไกล
พิธีกร
ภาพยนตร์เรื่องนี้คุณดูเสียน้ำตาไปมาก อะไรคือจุดที่ทำให้คนดูร้องไห้ได้ง่ายแบบนี้ และ อีกคำถามคือคุณเป็นคนเดียวที่กล้าท้าทายอำนาจของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์รึเปล่าคะ?
โจว
ก็ไม่เชิง เพราะผมค่อนข้างสนิทกับทั้งคู่มาก บางทีพวกเขาเสนอความคิดเห็นให้ผม บางทีถ้าผมมีความเห็น เราก็มีเวทีที่จะเสนอข้อคิดเห็นให้ คือบางทีเขามาถามเองก็มี เราก็แลกเปลี่ยนแล้วก็แก้ไขกัน เขาสองคนเป็นคนที่เป็นประชาธิปไตยมาก ส่วนผมก็เป็นนักแสดงที่เปิดกว้าง ดังนั้นเราอยู่ด้วยกันไม่มีความโกรธเกลียด มีแต่ความสนุก
ส่วนเรื่องที่ผมแสดงแบบควักหัวใจแสดงเพื่อเรียกน้ำตาคนดู ก็เพราะผู้กำกับบอกว่าถ้าฉากนี้แสดงไม่ดี ค่าตัวงวดต่อไปจะไม่จ่าย ผมก็เลยร้องไห้หนักเป็นพิเศษ พอเดินออกไปก็มีค่าตัวงวดสุดท้ายรออยู่ ก็แค่นั้น ขอบคุณครับผู้กำกับ
พิธีกร
THE LAST TYCOON คือโปรเจ็คต์ยักษ์ส่งท้ายปีของบริษัท โบนา บริษัทที่ได้ถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ในจีนหลายเรื่อง คุณเฉินข่ายเกอเคยชมคุณว่าเป็นมิราแมกซ์แห่งเมืองจีน ไม่ทราบคุณมีความเห็นยังไงครับ
แอนดรูว์ เลา บริษัทโบนาเราเริ่มมาได้สัก 12 ปี แต่ว่าเริ่มจะโด่งดังขึ้นมาหลังปีที่ 3 ถ้าจะเรียกมิราแมกซ์ก็คงต้องเป็นช่วงนั้นถึงจะใกล้เคียงหน่อย ตอนนี้เราถ่ายและออกภาพยนตร์ปีละหลายเรื่อง ปีนึงน่าจะเกิน 10 เรื่อง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เป็นโปรเจกต์ใหญ่ในปีนี้ แต่เรายังมีอีกเกือบ 10 เรื่องที่จะออกฉายในปี 2013 ซึ่งเราจะทำการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่ เกี่ยวกับโบนาในปี 2013 ต้องขอบคุณโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ แล้วก็นักแสดงทุกคน เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เป็นภาพยนตร์ที่สนุกมากเรื่องนึง ขอบคุณมาก
พิธีกร
เมื่อครู่คุณบอกว่ามีฉากที่เร้าใจมาก ไม่ทราบว่าอยู่ที่นี่มีอะไรเร้าใจมั้ยครับ?
โจว
คือในฉากเราใช้ระเบิดราวร้อยกว่าลูก แต่ละลูกใหญ่มาก แล้วก็กำหนดว่าจังหวะไหนใครระเบิดลูกไหน ๆ
คือถ้าถ่ายฉากนึงแล้วไม่ผ่าน ก็จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ไปเซ็ตใหม่ ไม่ใช่แค่ลูกเดียว ทั้งถนนเลย หลายสิบลูก ซึ่ง ยากมาก ทีมงานนี้มีกันอยู่ร้อยกว่าคน เชิญมาจากกวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง อาจจะมี 30 คนอยู่ปากทาง 30 คนอยู่ด้านหลัง 30 คนอยู่ตรงกลาง คือจะต้องมีลำดับ และต้องแม่นยำเรื่องเวลามาก เพราะต้องดูจังหวะและระยะที่นักแสดงเดินเข้ามา ถ้าให้ระเบิดใกล้ไปก็อันตราย ไกลไปภาพก็ไม่สวย พวกเขาจึงต้องมีความแม่นยำสูง ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้คนที่ค่าตัวแพงที่สุดไม่ใช่ผม แต่เป็นทีมเอฟเฟค
THE LAST TYCOON (เดอะลาส ไทคูน) เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนสุดท้าย เป็น ผลงานการกำกับของ หวังจิง ที่มี แอนดรูว์ เลา มานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างและที่สำคัญหนังยังได้ หยีชุงมั่น นักออกแบบงานสร้างมือหนึ่งของ เอเชีย ที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง Curse of the Golden Flower (ศึกโค่นบัลลังค์วังทอง ) มาออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ หนังไม่ได้มีเนื้อเรื่องเดียวกับ เจ้าพ่อเซียงไฮ้ ที่ทุกคนรู้จัก แต่จะเป็นงานที่สร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของหัวหน้าแก๊งมาเฟียผู้เคยมีตัวตนอยู่จริง และสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาในเซี่ยงไฮ้ระหว่างทศวรรษที่ 1920 - 1930 โดยนอกจาก โจวเหวินฟะ แล้วหนังยังจะมี หงจินเป่า, อู๋เจิ่นอวี้ และ หวงเสี่ยวหมิง ร่วมแสดง
ภาพยนตร์เข้าฉายในประเทศไทย วันที่ 24 มกราคมนี้