กรุงเทพฯ--14 ม.ค.--นิด้าโพล
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ละคร เหนือเมฆ 2” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7 — 8 มกราคม 2556 จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,254 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกภูมิภาค ทุกระดับการศึกษาและกลุ่มอาชีพ กรณีที่ ละคร เรื่อง เหนือเมฆ 2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์ งดออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 อย่างกระทันหัน โดยให้เหตุผลว่ามีเนื้อหาไม่เหมาะสม ท่ามกลางข้อสงสัยของแฟนละครที่กำลังติดตามชม
จากการสำรวจ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 80.22 ดูหรือติดตามข่าวการปลดละคร เรื่อง เหนือเมฆ 2 และร้อยละ 19.78 ระบุว่า ไม่ได้ติดตาม ทั้งนี้ ประชาชน ร้อยละ 73.84 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย กับการงดออกอากาศ “ละครเหนือเมฆ 2” เนื่องจาก เป็นการงดออกอากาศอย่างกระทันหัน ไม่เคารพถึงสิทธิของผู้บริโภคและสื่อ ซึ่งเนื้อหาในละครดังกล่าวมีการสอดแทรกคติสอนใจในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมได้เป็นอย่างดี เนื้อหารุนแรงน้อยกว่าละครบางเรื่อง อีกทั้งเรื่องราวกำลังสนุก และอยากทราบถึงตอนจบของละคร มีเพียง ร้อยละ 11.48 ที่เห็นด้วย เนื่องจากมองว่ามีเนื้อหาที่เสียดสีทางการเมืองที่ตรงเกินไป และยังมีฉากที่ใช้ความรุนแรง เด็กอาจจะนำไปลอกเลียนแบบและทำตามได้
ทั้งนี้ประชาชน ร้อยละ 42.03 เชื่อว่ามีการแทรกแซงจากรัฐบาลในการงดออกอากาศ “ละครเหนือเมฆ 2” เพราะ ละครมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทุจริตการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองโดยตรง รองลงมาร้อยละ 34.29 ยังไม่แน่ใจในข้อเท็จจริง เพราะ ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในหลายกระแส และ ร้อยละ 23.68 เชื่อว่าไม่มีการแทรกแซง เพราะ มองว่าเป็นการระงับการออกอากาศของทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 เอง เป็นแค่ละครที่สร้างขึ้นมาเท่านั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันกับรัฐบาล
ท้ายสุดประชาชน ร้อยละ 30.54 อยากให้ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ออกมาแสดงความรับผิดชอบ รองลงมาร้อยละ 18.66 เป็นรัฐบาล ร้อยละ 15.95 เป็นผู้จัดละคร ร้อยละ 13.72 กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)
ผศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ให้ทัศนะกับผลการสำรวจครั้งนี้ว่า “จากผลการสำรวจ เนื่องจากเป็นละครที่ได้ออกอากาศมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และเหลือเพียงไม่กี่ตอนก็จะจบ แต่กลับถูกระงับการฉายอย่างกระทันหัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ยังสามารถออกอากาศได้โดยตลอด โดยที่ยังไม่มีกระแสข่าวว่าละครเรื่องดังกล่าวมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ด้วยเงื่อนไขของเวลาและแน่นอนว่าย่อมส่งผลกับประชาชนที่กำลังติดตามอยู่ ทั้งนี้ละครดังกล่าวมีเนื้อหาที่เน้นไปทางการเมือง รวมไปถึงบทละครและตัวละคร และสิ่งที่บ่งชี้ถึงอิทธิพลทางการเมือง ประจวบกับเรื่องราวที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ทำให้คนดูเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นการแทรกแซงสื่อจากรัฐบาล ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ท้ายสุด การที่ประชาชนอยากให้ทางช่อง 3 ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อคนดูนั้น แสดงให้เห็นว่าประชาชนมองโครงสร้างของสื่อเป็นหลัก คือ มีช่อง 3 เป็นจ้าของ และผู้ที่ออกมาชี้แจงว่า เป็นผู้ระงับการออกอากาศเองแต่ยังขาดความชัดเจน จึงทำให้เป็นที่เคลือบแคลงใจของประชาชน อีกทั้งรัฐบาลถือว่าเป็นเจ้าของสัมปทานและเป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการสื่อโทรคมนาคมเป็นหลักจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง
เข้ามามีส่วนรับผิดชอบ ส่วนในตัวของผู้จัดละครเองนั้น ก็ได้มีการชี้แจงผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ไปแล้ว โดยมีผู้ที่เห็นอกเห็นใจและคอยให้กำลังใจแก่ทีมผู้จัดและนักแสดง ส่วน กสทช. เองนั้นก็ยังมีข้อจำกัดด้วยภาระหน้าที่และงบประมาณ และเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ จึงยากที่จะเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว แต่สุดท้ายทุกภาคส่วน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะร่วมมือกันในการรับผิดชอบ”