กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บลจ.ไอเอ็นจี มองตลาดหุ้นไทยไปต่อเตรียมเปิดจอง ‘ทริกเกอร์ 10% (8)’ มูลค่ากองทุน 4,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นรับซื้อคืนอัตโนมัติ 2 ครั้ง เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนเร็วขึ้นเสนอขายระหว่าง 14-22 ม.ค. เกาะกระแสเงินทุนไหลเข้าดันหุ้นไทยแตะ 1550 จุด
หลังจากประสบความสำเร็จกับ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)” ที่สร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายภายในระยะเวลาลงทุนเพียงแค่ 1 เดือน 25 วัน ล่าสุด บลจ.ไอเอ็นจี ยังเดินหน้าตอกย้ำความสำเร็จของกองทุนกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ด้วยการส่ง “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (8)” ที่จะเสนอขายในระหว่างวันที่ 14-22 ม.ค.นี้ พร้อมเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เร็วขึ้นจากการกำหนดเป้าหมายการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อ NAV มากกว่าหรือเท่ากับ 10.50 บาทต่อหน่วย กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วยก่อน หลังจากนั้นบริษัทจะบริหารเงินลงทุนเพิ่มเติม และจะรับซื้อคืนอัตโนมัติอีกครั้ง เมื่อ NAV มีมูลค่าเท่ากับหรือมากกว่า 11 บาทต่อหน่วย มั่นใจตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสร้างผลตอบแทน 10% ภายใน 1 ปีข้างหน้า ขณะที่ SET Index มีโอกาสแตะระดับ 1,524-1,550 จุด จากเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีอัตราการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในระดับที่สูงเฉลี่ย 19.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ด้วยอัตรา PER ที่ระดับ 10.5 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ 10.4 เท่า มั่นใจตลาดหุ้นไทยในปี 2013 สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7) ประสบความสำเร็จในการเข้าสร้างผลตอบแทนเข้าสู่เป้าหมาย โดยใช้เวลาลงทุนเพียงแค่ 1 เดือน 25 วัน ด้วยสินทรัพย์กองทุนกว่า 2,482 ล้านบาท ล่าสุด บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้เสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (8)” ในระหว่างวันที่ 14-22 มกราคมนี้ มูลค่ากองทุน 4,000 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนใหม่ล่าสุดในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูง (Stock Selection) และเน้นการใช้เทคนิคเรื่องการเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสม (Market Timing) เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย
สำหรับจุดเด่นของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (8)” อยู่ที่การเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เร็วขึ้นจากการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรก เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.50 บาทต่อหน่วยขึ้นไป ณ วันทำการใด บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในอัตรา 5% ของมูลค่าที่ตราไว้หรือ 0.50 บาทต่อหน่วย ภายใน 5 วันทำการ จากวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยจะสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นจ์ และครั้งที่สอง เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11 บาทต่อหน่วย ณ วันทำการใด บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดภายใน 5 วันทำการ จากวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยจะสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นจ์ เช่นกัน
“กองนี้นับเป็นกองแรกของกองทุนในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไอเอ็นจี ที่จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง ซึ่งข้อดีของการลงทุนในรูปแบบนี้อยู่ที่เมื่อตลาดอยู่ในภาวะผันผวน ลูกค้าจะสามารถลดความเสี่ยงโดยบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 0.50 บาทต่อหน่วย ออกไปก่อน และนำผลตอบแทนไปลงทุนต่อเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มได้ ขณะเดียวกัน การตั้งเป้าหมายการลงทุนในตลาดหุ้นที่ 11.00 บาทต่อหน่วย ด้วยการบริหารการลงทุนแบบ Absolute Return ซึ่งเป็นการบริหารการลงทุนด้วยการตั้งเป้าหมายผลตอบแทนในตลาดหุ้นในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยเราคาดว่าจะสามารถบริหารเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด” นายจุมพลกล่าว
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพตลาด ทำให้สามารถบริหารการลงทุนได้เป็นอย่างดีในทุกช่วงภาวะตลาดการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาในปี 2012 กองทุนในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์” ภายใต้การบริหารจัดการของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ประสบความสำเร็จและสามารถเข้าถึงผลตอบแทนเป้าหมายได้ โดยกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5) และ (6) สามารถสร้างผลตอบแทนเป้าหมายได้ หลังจากลงทุนเพียงแค่ 3 เดือน 19 วัน และล่าสุด กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7) สามารถสร้างผลตอบแทนเป้าหมายได้ หลังจากลงทุนเพียงแค่ 1 เดือน 25 วัน เท่านั้น
“เรายังมีมุมมองที่ดีกับตลาดหุ้นไทย โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่ 4.5-5.5% ใกล้เคียงกับปี 2012 จากการลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกระตุ้นการบริโภคภาคประชาชนด้วยการลดภาษีบุคคลธรรมดา ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีทิศทางการเจริญเติบโตที่สูงจากการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปี 2013 จะอยู่ที่ 19.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ที่ 13.6% เกือบ 6% นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดในภูมิภาค (MSCI Asia ex Japan) โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ของไทยในปี 2013 อยู่ที่ 10.5 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยของตลาดในภูมิภาคอยู่ที่ 10.4 เท่า (ที่มา: UBS 28 พฤศจิกายน 2012) จากปัจจัยทั้งหมดสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังคงสร้างผลตอบแทนสูง เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตของกำไรและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังคงสูง ซึ่งเราเชื่อว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวสู่ระดับ 1,524-1,550 จุดในอนาคต โดยมี Upside ประมาณ 8.31-10.16% ในปี 2013 และมีโอกาสสูงกว่าเป้าหมายดัชนี หากสภาพคล่องของโลกมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมถึงการที่เราปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนของปีนี้ และเราเชื่อว่าลูกค้าสามารถนำผลตอบแทนที่ได้รับนี้ไปลงทุนต่อเพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น และยังเป็นการลดความเสี่ยงเพื่อรักษาผลตอบแทนของลูกค้าในภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวน ทั้งนี้หมดนี้เราคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ” นายจุมพลกล่าว
ทั้งนี้ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (8)” เสนอขายระหว่างวันที่ 14 — 22 มกราคม 2556 โดยกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำ 2,000 บาท ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) โทรศัพท์ 02-688-7777 กด 2 หรือ www.ingfunds.co.th หรือธนาคารทหารไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน