กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ความเข้มข้นของตัวคุณบุญเลื่อง ก็คือครั้งนี้คุณบุญเลื่องจะประสบปัญหาแล้วทำให้เธอมีจุดพลิกผันของชีวิต จากคนที่เคยมีความสุขตลอดชีวิต ไม่เคยทุกข์อะไร วันหนึ่งต้องมาเจอความทุกข์ที่สุดในชีวิต ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่งขึ้นกว่าภาคที่แล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และระยะเวลาจากภาคที่แล้วจนถึงภาคนี้คุณบุญเลื่องก็จะอายุประมาณ 40 ก็จะเป็นคนที่เรียกได้ว่าวัยกลางคนที่ค่อนข้างมีความทุกข์จากเรื่องราวที่ตัวเองได้ทำขึ้นเอง
เรื่องราวในภาคนี้เข้มข้นขึ้นอย่างไรบ้าง
สำหรับจันดาราภาคนี้ เราก็จะเห็นจันในวัยที่เติบโตขึ้น เป็นคนที่ถูกสิ่งแวดล้อมหรือผู้ใหญ่ออกคำสั่งแล้วก็สอนให้มีความโกรธแค้น ความเคียดแค้น ถูกปลูกฝังในสิ่งที่ผิด จากภาคที่แล้วเราจะเห็นจันเป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนต่อโลก พอเจอสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งหรือว่าเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องออกจากบ้านไป สำหรับภาคนี้เขากลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างคืนในสิ่งที่เขาควรจะได้ แต่วิธีการคือการใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเกินความพอดี เลยทำให้คนเราเมื่อใช้อำนาจมากจนเกินไปมันทำให้สุดท้ายเราไม่เหลืออะไรมากกว่า ตรงนั้นก็เลยทำให้จันดาราในภาคนี้เข้มข้นมากทั้งในส่วนของตัวละครและตัวภาพยนตร์ทั้งเรื่อง มีความเข้มข้นและก็เครียดมากกว่าเดิม ดังนั้นภาคนี้เรียกได้ว่าภาคที่แล้วเป็นปั๊บปี้เลิฟ ภาคนี้น่าจะเรียกว่าเป็นภาคของความแค้น มันต่างมุมโดยสิ้นเชิง โดยภาคที่แล้วเราจะเห็นเป็นสีขาว ภาคนี้จะสีดำโดยสิ้นเชิงค่ะ
เรียกได้ว่าการแก้แค้นของจัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม คือเขาจดจำภาพของพ่อเขาที่ทำร้ายเขาตั้งแต่เด็ก เขามีความแค้นลึกๆ ในใจ แต่ว่าเมื่อกลับไปบ้านพิจิตรไปเจอคุณท้าวยาย คุณท้าวยายก็บอกความจริง แล้วก็บอกว่าต้องกลับไปเอาสมบัติทุกอย่างกลับคืนมา ดังนั้นทุกอย่างที่คุณหลวงรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักภายนอกอย่างเช่นบ้านพิจิตรวานิช หรือว่าบริษัทต่างๆ เงินทองต่างๆ ทั้งหมดคือเป็นเงินของคุณดารา เป็นเงินของบ้านดารา ดังนั้นจันก็ยึดหมด และสิ่งสุดท้ายทุกสิ่งที่คุณหลวงรัก ไม่ว่าจะเป็นคุณแก้ว หรือแม้กระทั่งคุณบุญเลื่องก็ตาม จันก็พยายามที่จะดึงกลับมา ดึงเอามาเพื่อที่จะทำร้ายคุณหลวง ก็เรียกได้ว่ามีการห้ำหั่นการในเรื่องของอารมณ์ ซีนอารมณ์ แม้กระทั่งเลิฟซีนต่างๆ เราก็มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้น
ตัวคุณบุญเลื่องเองก็มีความพลิกผันในชีวิตมากมายเหมือนกัน
ใช่ค่ะ ก็อย่างที่พูดไว้ข้างต้น คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาตลอดชีวิต ตั้งแต่อยู่สิงคโปร์ อยู่ยุโรป ไม่เคยมีความทุกข์ใดๆ ในชีวิตเลย ดังนั้นจากภาคแรกที่คุณบุญเลื่องมองอะไรก็สดใส หัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส มองอะไรเป็นสีสันตลอดเวลา ภาคนี้เนี่ยสิ่งที่คุณบุญเลื่องปิดมานาน แล้วความผิดในเรื่องของการปกปิดความลับตรงนี้เนี่ย มันทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมาในอนาคต เรียกได้ว่าเธอทำให้คนที่เธอรักมากที่สุดเสียใจ ดังนั้นจากคนที่ไม่เคยผิดหวังในชีวิต คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ กลับพบกับความทุกข์ที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง มันก็เลยเป็นจุดพลิกผันให้คุณบุญเลื่องในภาคนี้เจ็บและก็เสียใจ และทุกข์ที่สุดของที่สุด
หม่อมบอกมันทุกข์เหมือนมีคนเอามีดมากรีดที่ท้อง คือทุกข์เท่าไหร่ มีใครมาทำให้ทุกข์เท่าไหร่ ไม่เท่ากับเราทำตัวเอง แต่นี่เราทำให้คนที่เรารักมากที่สุด ให้เขาต้องทุกข์ไปตลอดชีวิต ให้เขาต้องเสียใจ ให้เขาต้องไม่ประสบผลในเรื่องที่เขาต้องการ ไม่ประสบผลในเรื่องของความรัก เรายิ่งทุกข์หนัก เหมือนเราทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ ดังนั้นมันทุกข์หนักเข้าไปอีก มันก็เลยเหมือนกับคุณบุญเลื่องในภาคนี้ก็จะกลับมาในอีกมุมหนึ่ง จากภาคแรกที่เป็นผู้หญิงสดใสร่าเริง เข้ามาในบ้านพิจิตรวานิชแล้วทุกอย่างดูสวยงาม ครั้งนี้เธออยู่ด้วยความทุกข์ อยู่ด้วยความเจ็บปวด เห็นบ้านแล้วก็ไม่ได้มีความสุขเหมือนครั้งแรกที่ก้าวเข้ามา
นั่นทำให้การแสดงหรือการเข้าถึงบทบาทในภาคนี้มีความยากขึ้น
ใช่ค่ะ จากภาคที่แล้วหม่อมบอกให้หญิงมองทุกอย่างเป็นความสวยงาม แม้กระทั่งเห็นคนเก็บขยะต้องสวยงาม คือตอนนั้นในช่วงที่ถ่ายปฐมบทคือมองอะไรสวยงามไปหมดเลย คือเป็นคนที่ยิ้มแย้มมองอะไรในด้านบวกหมด แต่ว่าสำหรับครั้งนี้พอเป็นปัจฉิมบทปุ๊บ หม่อมบอกว่าคนเราพอเหมือนมีความผิดสักอย่างในชีวิตที่มันไม่สามารถลบล้างได้ ให้หญิงรู้สึกเหมือนมีมีด เอามีดมากรีดตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่คนที่เรารักเจ็บ เหมือนพอเรารู้ว่าเขาเจ็บเพราะเรา มันเหมือนเราต้องเจ็บหนักกว่าเขาหลายพันเท่าทวี ดังนั้นด้วยบทที่เรารับเป็นผู้หญิง 40 เป็นแม่คนด้วย เราต้องพยายามหาจุดตรงนั้นให้ได้ว่า การเป็นแม่คน เวลาเจ็บ เขาเจ็บกันยังไง การที่ทำให้ลูกเสียใจ หรือการที่ทำให้คนรักเสียใจ สามีเสียใจ การที่เราทำผิดสักอย่างมันต้องเก็บขนาดไหน โดยคาแร็คเตอร์คุณบุญเลื่องไม่ใช่คนที่จะมีคนที่คอยให้คำปรึกษามากนัก จากในเรื่องคือเธอมาคนเดียวไม่ได้มีเพื่อนฝูงอะไร เวลาเธอทุกข์ก็จะเก็บไว้คนเดียว สิ่งที่เธอทำได้ก็คือนั่งเล่นเปียโนร้องเพลง นั่งวาดภาพ นี่คือการระบายความทุกข์ของเธอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พูด เราต้องอย่าลืมว่าคุณบุญเลื่องเคยมีความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์แล้วมันจะไม่เหมือนคนที่มีประสบการณ์ หรือเรียนรู้ความทุกข์มา เธอเหมือนเธอไม่รู้จะทำอะไร สิ่งที่ทำได้คือการระบายกับการร้องเพลง การอยู่กับตัวเองหรือว่าวาดภาพอะไรอย่างนี้ค่ะ
การแสดงของมาริโอ้ในภาคนี้ที่เปลี่ยนมาเล่นบทร้ายเลย เป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องนี้เคยได้นั่งคุยกับหม่อม ตอนที่เราถ่ายปฐมบท ซึ่งเราก็พอถ่ายเสร็จก็เข้ามาดูในมอนิเตอร์ หม่อมให้ดูในช่วงที่ตัด โอ้เป็นคนที่มีสายตาเศร้า แล้วพอเล่นในปฐมบททุกคนคือเห็นว่าน่าสงสารจัน ดาราจังเลย ทำไมจันต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ต้องเจอพ่อที่ใจร้ายอย่างนี้ ยังคุยกับหม่อมว่าแล้วภาคปัจฉิมบทโอ้จะเป็นยังไง คือด้วยความที่เห็นน้องใสมาก แล้วก็มีความไร้เดียงสาในมุมของเด็กที่มีความสุขตลอดเวลา แล้วโอ้เองคือน้องเป็นคนที่คิดโลกในแง่บวก เขารับแต่สิ่งบวกๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้นเราคิดไม่ออกเลยว่าจะเล่นเป็นคนที่เคียดแค้นหรืออาฆาตยังไง แต่พอวันที่เขาเข้าฉากเป็นคุณจัน ดาราในวัย 25 ปี เราอึ้งมาก เพราะว่าโอ้นิ่ง นิ่งแล้วเป็นผู้ใหญ่ขึ้นโดยสิ่งที่เราเคยกังวล ด้วยความที่น้องใสมาก คือเรียกได้ว่าหน้าแบ๊ว เห็นแล้วแบบสงสาร เราจะเกลียดคนๆ นี้ได้ยังไง แต่พอถึงเวลาที่เขาเล่น เขาเล่นจนทำเอาพวกเราอึ้งค่ะ คือเราไม่เคยเห็นมาริโอ้ในมุมนี้ หญิงไม่เคยเห็นน้องในมุมที่พลิก แล้วแบบมันไม่มากจนเกินไปและมันไม่น้อยจนเกินไป ไม่ใช่ว่าร้ายซะจนคนดูเกลียดตัวละคร หญิงเชื่อว่าตัวละครจะไปได้ดี คนต้องไม่เกลียดขนาดที่ไม่อยากดู และโอ้สามารถทำให้คนจับคาแร็คเตอร์ที่น่ากลัว คาแร็กเตอร์ที่เคียดแค้น ทำให้คนดูรู้สึกว่าในมุมนั้นมีความน่าสงสารอยู่ เพราะเขาไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ทำไมไม่หยุดสักที ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ซึ่งหญิงคิดว่าเขาประสบความสำเร็จมากกับปัจฉิมบท เพราะว่าตัวจัน ดาราพลิกถึงขั้นทำให้คนดูเกลียดเลยกับสิ่งที่เขาทำ ซึ่งแต่ละอย่างที่เขาทำมันรุนแรงมาก ต้องไปติดตามในภาพยนตร์ค่ะ แต่พอเราได้ดูเรารู้สึกว่า แม้เขาจะทำอะไรรุนแรงก็ตาม เรารู้สึกว่าในความรุนแรงในความเป็นคนไม่ดีของเขา เรายังมองเห็นถึงความน่าสงสารของจัน ดารา ซึ่งอันนี้มันตอบโจทย์ว่าเนี่ยคือจัน ดาราจริงๆ และเป็นอย่างที่หม่อมคิดไว้
ซึ่งฉากที่เห็นความร้ายกาจของจัน ดารามากที่สุดฉากหนึ่งก็คือฉากกลับมาทวงทุกสิ่งคืนจากคุณหลวง ฉากนี้โดดเด่นอย่างไรบ้าง
เรียกได้ว่าฉากนี้เหมือนโอ้เล่นคนเดียว คือจริงๆ หญิงก็มีการตอบโต้กับจัน ดารา คือคุณบุญเลื่องกับจัน ดาราตอบโต้กัน แต่ว่าในส่วนของหญิงน้อยมาก และก็เป็นการตอบโต้ในลักษณะของการหยั่งเชิง การเทียบเชิงกันว่ายินยอมในข้อตกลงในแต่ละข้อ และซีนนั้นเป็นซีนที่มาริโอ้หรือจัน ดาราพูดอยู่คนเดียว และบทยาวมาก หญิงจำได้ว่าวันนั้นถ่ายกันเกือบทั้งวันในห้องที่ไม่มีแอร์ แล้วก็แต่ละช็อตต้องรับหน้าทีละคน เพราะว่าทุกคนในเรื่องอยู่หมด รู้สึกได้เลยว่า เหมือนโอ้เล่นอยู่คนเดียวจริงๆ แล้วเขานิ่งมาก แล้วพอเขาตัดออกมา หญิงได้มีโอกาสดูในห้องตัดก่อน ฉากนี้เป็นฉากที่ห้ามพลาด เพราะว่าโอ้ได้แสดงความเป็นนักแสดงจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในทุกการก้าว ในทุกน้ำเสียง ในทุกสายตาที่มอง คือหญิงรู้สึกได้เลยว่ามันมีความเคียดแค้น แล้วพร้อมที่จะไม่ใช่ในลักษณะของคนที่หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงคู่ต่อสู้ มันเหมือนคนที่ค่อยๆ เอามีดกรีดคู่ต่อสู้ตั้งแต่หัวลงมาจนถึงเท้า เอาให้มันเจ็บแต่พูดไม่ได้ เจ็บอยู่ข้างใน แล้วพี่เจี๊ยบ (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ที่เล่นเป็นคุณหลวงเองที่ไม่ได้พูดเลยทั้งซีน มาพูดตอนจบนิดเดียว คือหญิงต้องยืนข้างๆ พี่เจี๊ยบอยู่แล้ว คือแม้กระทั่งเราไม่เห็นเขาพูดในซีนแม้แต่คำเดียวจนกระทั่งจบซีน เรารู้สึกได้เลยว่าเหมือนมีมีดมากรีดเขา แล้วเขาต้องกลั้นความรู้สึกเจ็บตรงนั้นไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ใครเห็นว่าเขาอ่อนแอ คือทั้ง 2 คน ในขณะที่อีกคนพูดทั้งซีนแล้วก็เรารู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นของเขา แต่ว่าในน้ำเสียงที่นุ่มและก็นิ่ง กับอีกคนหนึ่งที่ไม่พูดเลย แล้วก็ได้รับแอ็คติ้งจากตัวจัน ดารา ในห้องมันเป็นอะไรที่อบอวลไปด้วยความกดดัน แล้วมันเข้มข้นมากสำหรับฉากนี้ ก็อยากให้ติดตามสำหรับฉากนี้ค่ะ
ฉากเลิฟซีนที่หลายคนจับตามอง
พูดถึงจัน ดาราแล้วก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของอีโรติก เพราะทั้งหมดเขาใช้เซ็กส์เป็นสื่อในการนำเสนอเรื่องราว บอกถึงความรัก ความใคร่ การแก้แค้น ดังนั้นมันหนีไม่พ้นในเรื่องของเลิฟซีน แต่ว่าอย่างที่หญิงบอกแต่ละเลิฟซีนมันก็มีความสวยงาม ดูให้งามมันก็งาม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ปฐมบทแล้ว เรื่องนี้สำหรับคุณบุญเลื่องจะได้เห็นมากขึ้นจากภาคที่แล้วที่จะมีแค่ถูน้ำแข็ง ภาคนี้ก็จะมีเลิฟซีนที่อาจจะถูกข่มขืนด้วย แล้วก็มีความสมยอมด้วยในบางซีน
ลิมิตจริงๆ ของหญิงก็คงเป็น Topless เท่าที่คุยกับหม่อมไว้ คือเห็นข้างบน แล้วข้างล่างก็จะมีเซฟมีอะไรบ้าง เพราะว่าจริงๆ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต แล้วก็เป็นอีโรติกเราเองก็ไม่เคยเล่นมาก่อน แล้วก็ถามตัวหญิงเอง หญิงก็รู้สึกตื่นเต้น ที่สำหรับภาคนี้ก็คงจะได้เห็นมากขึ้นในมุมเลิฟซีนหลากหลายของคุณบุญเลื่องที่มีกับหลายๆ คนในเรื่องเลย
แต่สุดท้ายยังไงมันก็คืองาน แล้วก็มาถึงจุดนี้แล้วเราก็อยากให้ออกมาดี และอยากให้ภาพออกมาสวย ซึ่งภาพทั้งหมดหม่อมก็เป็นคนจัดให้ทั้งหมดว่าอยากให้นอนตรงไหนอะไรยังไง ซึ่งที่ได้ดูแล้วก็ยอมรับค่ะว่าแรงที่สุดในชีวิต ก็ยังไม่เคยรับละครหรือภาพยนตร์อะไรที่แรงขนาดนี้ แล้วเราก็คิดว่า ก็คงยังไม่กล้าเล่นกับใครถ้าไม่ใช่หม่อม เพราะรู้สึกว่าหม่อมทำให้เรารู้สึกว่า พอมองแล้วมันไม่ใช่ความโป๊ มันเป็นความสวยงามจริงๆ
ฉากที่ประทับใจหรืออยากพูดถึงเป็นพิเศษ
จริงๆ สำหรับตัวหญิงเอง ถ้าชอบมากก็จะเป็นฉากจบของคุณบุญเลื่อง คือรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่หาได้ยากมากในยุคปัจจุบัน การอภัยอะไรไม่เท่าการอภัยตัวเอง ซึ่งหญิงเห็นและรู้สึกว่า นี่แหละมนุษย์มีแค่นี้เอง คือเคียดแค้นกัน เคียดแค้นคนอื่น ทำร้ายคนอื่น กดขี่ข่มเหงคนอื่น อาฆาตแค้น แก้แค้นคนอื่น สุดท้ายแล้วกว่าที่เราจะคิดได้ เราต้องรอให้มาคิดได้ในวันที่สายเกินไป อย่างตัวจันถ้าเขาคิดได้ตั้งแต่ตอน 25 เวลาอีกประมาณ 30-40 ปี เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก ถ้าเขาให้อภัยตัวเองสักนิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของอดีต เรามีโอกาสที่จะสร้างวันพรุ่งนี้ แต่การที่ยึดติดอยู่กับอะไรที่เป็นอดีตแล้วไม่ปล่อยมันออกไปสักที มันคือกรรมที่ไม่มีใครทำให้คุณได้ คุณต้องแก้ด้วยตัวเอง ด้วยการละ การให้อภัย ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนรอบข้าง ก็คืออโหสิกรรมในพระพุทธศาสนานั่นเอง
พอดูแล้วรู้สึกว่า คุณบุญเลื่องเธอเป็นผู้หญิงที่เข้าใจโลกมากคนหนึ่ง และพร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่น แม้กระทั่งให้โอกาสตัวเอง แล้วทุกคำพูดของคุณบุญเลื่องมันเป็นคำสอน มันมีคำหนึ่งที่หญิงชอบมาก คือ “คนเราจะรักคนอื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้จักรักและเคารพตัวเองเสียก่อน” หญิงรู้สึกว่าจริง ถ้าเราไม่รักตัวเอง ถ้าเราไม่เคารพในสิทธิของตัวเอง เราพร้อมที่จะไปรับไปแชร์ไปเผื่อแผ่ให้ใครได้ที่ไหน บางคนรู้สึกว่าการรักตัวเองคือการเห็นแก่ตัว หญิงมองว่ามันไม่ใช่ มันต่างกัน การเห็นแก่ตัวคือการที่คุณไม่รักตัวเองต่างหาก หลายๆ คำของคุณบุญเลื่อง หญิงรู้สึกว่ามันเป็นคำสอน และรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เจ๋งดี ถ้ามีโอกาสได้เจอกันจริงๆ คงดี
เท่าที่ฟังแล้วรู้สึกว่าหญิงมีความผูกพันกับตัวละครนี้ค่อนข้างมากทีเดียว
ใช่คะ ก็จริงๆ อาจจะเป็นเพราะตัวหญิงเองคลุกคลีอยู่กับตัวละคร และก็อยู่กับคุณบุญเลื่องมา 4-5 เดือนตลอดระยะเวลาทำงาน บวกกับช่วงเวลาที่เป็นภาคปฐมบท เราได้ซึมซับบางอย่างมาจากคุณบุญเลื่อง ทุกวันนี้เวลาคิด หรือเวลามองใครคือมันเหมือนกับว่าเราติดตัวละคร แล้วยิ่งเราได้มองกลับไปดูเรารู้สึกผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์เหลือเกิน ถ้าคุณบุญเลื่องมีชีวิตจริงๆ เขามีเสน่ห์เหลือเกิน แล้วก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องมองในเรื่องของรูปร่างหรือว่าสมบัติ สมบัติของเธอคือใจกับสมองจริงๆ คือมันยากมากนะกับการที่จะเจอเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิต แล้วสุดท้ายก็พร้อมที่จะเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านจบแล้วก็วางไป แล้วก็พร้อมที่จะเดินไปหยิบหนังสือเล่มใหม่มาอ่านต่อ มันยากตรงที่ว่ามันมีคนแบบนี้กี่คนในโลกที่พร้อมที่จะลืมเรื่องที่ไม่ดีของตัวเอง หญิงว่ามันไม่มีหรอก หญิงเองก็เคยเป็นเด็กดื้อเด็กซนในชีวิตที่ผ่านมา แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นประสบการณ์ในชีวิตแล้วเราพร้อมที่จะก้าวออกมาไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ชีวิตก็จะมีความสุข
คือตัวคุณบุญเลื่องกับจันต่างกัน จันอาจจะมาคิดได้ตอน 80 ในขณะที่คุณบุญเลื่องคิดได้ตอน 40 ถ้าคุณบุญเลื่องมีชีวิตอยู่ เธออาจจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุข ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว อาจจะมีลูกหลาน อาจจะรับเลี้ยงใครมาเป็นลูกหลานตัวเอง เธออาจจะเป็นผู้หญิงที่เดินทางรอบโลก เที่ยวรอบโลกอยู่ก็ได้ตอนนี้ ตอนคุณบุญเลื่อง 80 อาจจะนั่งชมต้นไม้อยู่บ้าน นั่งฟังเพลงอยู่บ้าน คงเป็นผู้หญิงที่อาวุโสที่มีความสุขคนหนึ่ง ในขณะที่จัน ดาราต้องอยู่คนเดียว เพราะว่าเขาเลือกที่จะเก็บความทรงจำ ความเคียดแค้น หรือแม้กระทั่งวันที่เขาตัดสินใจได้ว่าเขาจะจบทุกอย่างในชีวิตของเขานะ แต่ว่าเขาก็ยังไม่ลืมมัน เก็บมันไว้ ใช้ชีวิตอย่างนั้นกับมัน เอาอดีตลากไปด้วย คนเราถ้าไม่รู้จักทิ้ง เราก็จะเดินช้าลง มันจะหนักอยู่ตลอดเวลา คือถ้าเราทิ้งได้แล้วตัวเบาๆ เราจะไปไหนก็ได้
เสน่ห์ ความน่าสนใจ และคุณค่าของภาพยนตร์ที่ผู้ชมจะได้รับ
สำหรับ “จันดารา ปัจฉิมบท” เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเนื้อหา นักแสดงที่ภาคที่แล้วเป็นยังไง ภาคนี้คุณจะลืมความสดใสของจัน ดารา ของคุณบุญเลื่องไปเลย จากคุณหลวงเองที่เคยเป็นผู้ชายที่เคียดแค้น มีอำนาจ คุณหลวงจะน่าสงสารที่สุดในภาคนี้ ซึ่งเป็นคนที่ต่อสู้ใครก็ไม่ได้ ทุกอย่างเก็บเอาไว้เพราะรักคนๆ หนึ่ง รักลูกตัวเอง พอที่จะเสียศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อลูกคนเดียว นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนเป็น ศักดิ์ศรีตัวเองไม่ว่า แต่ขอแค่ให้ได้อยู่กับลูก อยู่ใกล้คนที่เรารัก นี่คือคุณหลวงในภาคนี้จะพลิกไปเลยค่ะ คุณบุญเลื่องเองก็พลิก ดังนั้นเนื้อเรื่องในภาคนี้เรียกได้ว่าภาคที่แล้วเป็นยังไง ภาคนี้มันคือขาวกับดำ พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ บวกกับเรื่องราวและคำสอนต่างๆ ในเรื่องนี้ที่จะสอน ทั้งในเรื่องของเซ็กส์ที่บางครั้งอาจจะถูกใช้ในทางที่ผิดแล้วนำพามาซึ่งอะไร แล้วก็กรรมและอโหสิกรรม เรื่องนี้จะสอนให้เรารู้ว่า การทำกรรมใน 1 ครั้ง มันเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง มันไม่ใช่ว่าคุณเดินไปหยิกคนนี้คนหนึ่ง แล้วเขาเจ็บแล้วมันจะจบ คือมันไม่ใช่ คุณไปหยิกเขา เขาโมโหคุณ เขาอาจจะไปทำร้ายคนรอบๆ ข้างคุณก็ได้ ถ้าเขาไม่กล้าเดินไปต่อยตรงๆ นั่นคือนิสัยของจัน ดารา เขาทำร้ายทุกคนที่คุณหลวงรัก สุดท้ายแล้วการทำร้ายคนอื่นๆ สุดท้ายมันคือทำร้ายตัวเอง
แล้วก็เลิฟซีนมันต้องมี ก็อยากให้ดูเพื่อเป็นองค์ประกอบสำหรับความเข้าใจของตัวละครว่า แต่ละตัวละครมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบไหน เลิฟซีนสำหรับคุณบุญเลื่องก็จะเยอะขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่มันเยอะขึ้นก็คือ ความเข้มข้นในเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวจัน ดารา, ตัวคุณบุญเลื่อง, ตัวคุณหลวง และคนอื่นๆ ทุกครั้งที่เล่นในปัจฉิมบทเราจะรู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะเล่นอะไรมันจะซ้อนความรู้สึกเยอะมาก ต่อให้เป็นเคียดแค้น ต่อให้เป็นอารมณ์ดี มันซ้อนความรู้สึกเยอะมาก
ภาคแรกมันเหมือนไบรท์มากสำหรับตัวหญิง ตัวบุญเลื่องขึ้นมาก็เป็นสดใส คิดเป็นสีชมพู สีม่วง แต่ครั้งนี้คิดไม่ได้เลยว่าจะเป็นสีแบบสีเดียว คือจะเป็นเทา เป็นหม่นเป็นครามตลอด สำหรับปัจฉิมบทมันคือสีที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาวและดำ คือมันยากมากและก็สนุกมากๆ มันคือชีวิตคนจริงๆ เราจะได้เห็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์จริงๆ ว่าถึงเวลาที่มันจนตรอก ถึงเวลาที่เราเอาชนะใครไม่ได้ แล้วเอาชนะด้วยวิธีสกปรก สุดท้ายมันไม่ได้มีอะไรดีในชีวิตเราเลย ก็เลยรู้สึกว่าภาคนี้เป็นอีกภาคที่เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อที่ต้องติดตามและต้องดูกันเลยค่ะ