กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--IR PLUS
“สุรเดช บุณยวัฒน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ เผย สำนักงาน ก.ล.ต.ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งและแบบคำขอฯของบมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้พร้อมเดินหน้าตามขั้นตอนเพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนใน SET ต่อไป มั่นใจหุ้น IPO ทั้ง 82.5 ล้านหุ้นได้รับการตอบรับอบอุ่น เหตุเป็นหุ้นที่ธุรกิจมีทิศทางการเติบโตสูงและมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะในปี 2556 จะเห็นการเติบโตโดดเด่นหลังรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 2 โรง
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับแนวหน้าของประเทศไทย ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อขอเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้น บริษัทฯ จึงพร้อมดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 82.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่ 1 บาทต่อหุ้น ตามที่ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตฯและแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ไว้ดังกล่าว
“ขณะนี้ทางสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งทั้งแบบไฟลิ่งและแบบคำขอไปเรียบร้อยแล้ว รอเพียงขั้นตอนการอนุมัติแบบไฟลิ่งและแบบคำขอฯ เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ก็เตรียมความพร้อมในกระบวนการต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว หากทาง สำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติก็เริ่มดำเนินการตามกระบวนการต่างๆ ได้ทันที ซึ่งมั่นใจว่าหุ้น IPO ของบริษัทฯ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างอบอุ่น เพราะผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตสูง จากธุรกิจระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปภาคครัวเรือนทั้งขนาดเล็กเพื่อที่อยู่อาศัย และระบบขนาดใหญ่สำหรับองค์กรและสถานที่สำหรับรองรับคนเป็นจำนวนมาก ทั้งสนามกีฬา ศูนย์การประชุมสัมมนาต่างๆ ที่กำลังขยายตัวอย่างชัดเจน และจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่กำลังจะรับรับรู้รายได้เพิ่มจาก 1 โรง เป็น 3 โรงภายในต้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี” นายสุรเดช กล่าว
สำหรับ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่มหลัก โดยมี 2 ธุรกิจดำเนินการ ภายใต้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรม ในขณะที่อีก 2 กลุ่มธุรกิจจะดำเนินการโดยบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน ดำเนินการโดยบริษัท พรีเมียร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด (PHA) และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดำเนินการโดย บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) ซึ่งธุรกิจทั้งหมดเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทนซึ่งถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่อยู่ในความสนใจของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลโลกและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ธุรกิจจึงมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันธุรกิจระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำของบริษัทฯ ถือเป็นผู้นำในตลาดที่ใช้ในอาคาร โดยบริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียในอาคารขนาดใหญ่ชั้นนำมากมาย อาทิ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สนามกีฬาบางกอกฟุตซอล อารีน่า รวมทั้ง สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงค์ มักกะสัน และอาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่
ในขณะที่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม ปัจจุบันถือเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว และผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กลาสเสริมแรง โดยได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสถาปนิกในวงกว้าง ไว้วางใจใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในโครงการสำคัญมากมายหลายโครงการไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว (Glass Reinforced Cement: GRC) ได้แก่ การทำผนังกันเสียงให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีแดง สะพานพระราม 8 สะพานพระราม 4 ถนนรามคำแหง และผลิตภัณฑ์หลังคาและผนังเหล็กขึ้นรูป ซึ่งใช้ติดตั้งหลังคาของศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คลังเก็บสินค้าของ บมจ.
ท่าอากาศไทย ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในธุรกิจและการยอมรับจากกลุ่มผู้ประกอบการเป็นอย่างดี
ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) มีทั้งหมด 3 โครงการโครงการละประมาณ 5 MW รวม 15 MW ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยโครงการแรกได้เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว และPPP เริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนกันยายน 2555 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการที่ 2 และ 3 เพิ่มเติมได้ภายในต้นไตรมาส2ปี 2556 โดยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้ และสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทประหยัดพลังงาน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท พรีเมียร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด (PHA) ในอนาคตมีทิศทางการเติบโตอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองรับกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังมาแรงทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของ PHA โดยนำสินค้าประเภทประหยัดพลังงานอื่นๆ เช่น หลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน อุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กับแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ตามบ้าน (Solar Roof Top) เข้ามาจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าพันธมิตรที่มีอยู่ประมาณ 500 แห่งทั่วประเทศได้อีกด้วย และในปีนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตก้าวอย่างกระโดดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาได้ทั้งกลุ่มธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน
สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 993.51 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมร้อยละ 50 กลุ่มผลิตภัณฑวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมร้อยละ 31.07 กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ร้อยละ 3.75 กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานร้อยละ 14.30 และรายได้อื่นๆ ร้อยละ 0.88 เทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 ที่มีรายได้ 640.46 ล้านบาท และรายได้ 916.14 ล้านบาทในปี 2554 โดยในปี 2555 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเพียง 9 เดือนแรกของปีบริษัทฯ สามารถทำรายได้สูงกว่าปี 2554 ทั้งปีแล้ว
ทั้งนี้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 217.50 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือ 82.50 ล้านหุ้น ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะนำมาลงทุนเพิ่มในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตในอนาคต