กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--กรมสรรพากร
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (15 ม.ค. 56) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมจากการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาการให้ สิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของสถาบันการเงิน อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 จากสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงินสำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการที่สถาบันการเงินควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน ทั้งนี้ เฉพาะการควบเข้ากันหรือโอนกิจการที่ได้กระทำภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557
2. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่สถาบันการเงิน สำหรับเงินได้พึงประเมิน รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่สถาบันการเงินควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เฉพาะการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการที่ได้กระทำภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557
3. ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่สถาบันการเงิน สำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่สถาบันการเงินโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เฉพาะการโอนกิจการที่ได้กระทำภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557
4. ลดหย่อนค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือห้องชุดระหว่างสถาบันการเงินที่โอนสินทรัพย์หรือหนี้สินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากในปัจจุบันสถาบันการเงินบางแห่งยังควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ไม่แล้วเสร็จ กระทรวงการคลังจึงเห็นควรขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและค่าธรรมเนียมออกไปให้สอดรับกับระยะเวลาของแผน ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2557
ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ให้ข้อมูลว่า แม้ว่ามาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมจากการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 อาจมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากร แต่มาตรการนี้จะช่วยสนับสนุนให้การควบรวมกิจการของสถาบันการเงินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบสถาบันการเงินของประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อฐานภาษีในระยะยาว