กรุงเทพฯ--23 ม.ค.--บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์
หลังจากทุ่มทุน 1,800 ล้านบาท ปรับโฉมใหม่ สยามเซ็นเตอร์ แบบปฏิวัติวงการ และทุ่มทุนอีก 200 ล้านบาทจัดงานเฉลิมฉลองแกรนด์โอเพนนิ่งสยามเซ็นเตอร์สุดยิ่งใหญ่ ที่คับคั่งไปด้วยดารา นักร้อง นักแสดงชื่อดังระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแอเดรียน โบรดี้ ดารา ฮอลลีวูด เจ้าของรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง The Pianist เลห์ตัน มีสเตอร์ กับ เอ็ด เวสต์วิค จากซีรีส์ยอดนิยมระดับโลก The Gossip Girl คิมบอม ศิลปินสุดฮอตหนึ่งในเทพบุตร F4 เกาหลี ไทโอ ครูซ ศิลปินเจ้าของเพลงฮิตติดท็อปชารต์อย่างเพลง Dynamite พร้อมด้วย เคอรี่ ฮิลสัน และทาบูจากวง Black Eyed Peas
เป้าหมายของสยามเซ็นเตอร์คือการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในฐานะที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งชั้นนำระดับโลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยการนำเสนอคอนเซ็ปต์ใหม่ของวงการการค้าปลีก โดย สยามเซ็นเตอร์เป็น Ideaopolis “เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์” ศูนย์กลางแห่งจินตนาการและงานสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัดในศาสตร์แห่งสุนทรีย์ของ ศิลปะ แฟชั่น เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ เป็นศูนย์รวมแห่งแนวคิดและการออกแบบใหม่ๆ จากทั่วโลก ทั้งนี้สยามเซ็นเตอร์ ถือเป็นหนึ่งในศูนย์การค้าแห่งแรกๆ ของโลกที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับร้านค้าต่างๆ เพื่อให้การออกแบบและตกแต่งหน้าร้านเพื่อให้มีเอกลักษณ์ที่สอดคล้องตามคอนเซ็ปต์หลักของสยามเซ็นเตอร์ ทำให้สยามเซ็นเตอร์มีความโดดเด่นแตกต่างอย่างชัดเจน นอกจากนั้นร้านค้าแต่ละร้านต่างให้ความร่วมมือในการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่สยามเซ็นเตอร์เท่านั้นอีกด้วย
“ด้วยความที่สัดส่วนลูกค้าจากต่างประเทศของเรามีจำนวนสูงถึง 40% จึงเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันในระดับโลกไปแล้ว รวมถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งมีส่วนเร่งกระบวนการการแข่งขันให้เข้มข้นขึ้น จากการที่ผู้คนในภูมิภาคสามารถเดินทางไปช็อปปิ้งได้สะดวกคล่องตัวขึ้น” นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ และศูนย์การค้าชื่อดังอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งศูนย์การค้าสยามพารากอนที่เป็นไอคอนหนึ่งของกรุงเทพฯ กล่าว
“นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องใช้บริการของยอดฝีมือจากทั่วโลก” นางชฎาทิพกล่าวเพิ่มเติม
หนึ่งในคนเก่งระดับโลกที่ได้รับการทาบทามให้มาช่วยสยามเซ็นเตอร์วางกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ได้แก่ ไมเคิล ร็อค (Michael Rock) ผู้เชี่ยวชาญการสร้างแบรนด์แห่งบริษัท 2x4 Inc., จากนิวยอร์ค ซึ่งเคยทำงานให้ลูกค้าแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิ ชาแนล ปราด้า พีแอนด์จี ไนกี้ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ รวมทั้งยังเคยเป็นเจ้าของรางวัล National Design Award ของสหรัฐอีกด้วย
“ภารกิจของเราคือการสานต่อไอเดียของคุณชฏาทิพให้เป็นรูปธรรม พร้อมกับแปลงความคิดเหล่านั้นให้เป็นถ้อยคำและรูปภาพที่ลงตัว” ไมเคิล ร็อคกล่าว “ภาพสยามเซ็นเตอร์ที่อยู่ในใจของคุณชฎาทิพจะเป็นสถานที่ที่คุณเข้าไปเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจและได้รับความตื่นเต้นจากไอเดียและคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ ซึ่งการช้อปปิ้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ดังกล่าว”
“การได้ทำงานกับลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก เราเริ่มทำงานกันเมื่อเจ็ดเดือนก่อน ช่วยกันดูภาพร่างประมาณกว่า 1,000 ภาพ เพื่อสร้างภาพกราฟฟิคและภาพโฆษณา ที่สื่อความหมายตามกลยุทธ์ของคุณชฎาทิพอย่างชัดเจน โดยในส่วนของโลโก้ เรามีความคิดเห็นตรงกันว่าอยากจะได้โลโก้ที่ดูเหนือกาลเวลา ไม่ใช่แฟชั่นที่ฮิตเพียงชั่วครู่ชั่วยาม โลโก้ใหม่มีความบริสุทธิ์และสำคัญ จึงได้รับการออกแบบให้ดูแข็งแกร่งและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อที่ว่าในอีกสิบปีข้างหน้า มันจะยังคงรักษาไว้ซึ่งคุณสมบัติทุกอย่างที่เป็นสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่เหมือนเดิม” ไมเคิล ร็อคกล่าว
ไมเคิล ร็อคกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของงานนี้ คือทำอย่างไรจึงจะแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาและแฟชั่นได้โดยที่ไม่ดูเสแสร้ง
“นอกจากนั้น กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของเรายังต้องกันพื้นที่เอาไว้ส่วนหนึ่ง ให้สถานที่ที่สดใสมีชีวิตชีวาอย่างสยามเซ็นเตอร์สามารถพัฒนาต่อยอดต่อไปได้ โดยที่ในส่วนของงานกราฟฟิคและองค์ประกอบด้านภาพและถ้อยคำอื่นๆ ที่เราพัฒนาขึ้น ยังสามารถสะท้อนความเป็นสยามเซ็นเตอร์ได้ตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับแบรนด์ผู้นำที่จะต้องสะท้อนเอกลักษณ์ที่ชัดเจนเพียงพอ ขณะเดียวกันก็เหลือพื้นที่ไว้สำหรับพัฒนาต่อยอดไอเดียที่แสดงออกผ่านเอกลักษณ์ทางภาพและถ้อยคำ” ไมเคิล ร็อคกล่าว
“สยามเซ็นเตอร์มีพื้นที่แกลลอรี่ จอวีดิโอและพื้นที่ต่าง ๆ มากมายที่รอการเติมเต็มและทำให้สดใหม่ด้วยไอเดียต่างๆ การใช้พื้นที่เหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้สยามเซ็นเตอร์เป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถจะคาดหวังได้ว่าจะต้องเจออะไรที่เซอร์ไพรซ์และชวนให้ตื่นเต้นทุกครั้งที่แวะเข้ามา ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สยามเซ็นเตอร์สามารถพัฒนาต่อยอดต่อไปในอนาคตด้วย” ไมเคิล ร็อคกล่าว
“ผมอยากจะกลับมาดูในอีกสองปีข้างหน้าว่า เอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เราวางไว้มันจะยังสะท้อนสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของสถานที่ที่คงห้ามไม่ได้ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อยากรู้ว่ามันจะเป็นไปในทิศทางไหน” ไมเคิล ร็อคกล่าวสรุป