ทิสโก้ เวลธ์ ชี้ตลาดหุ้นจีนมาแรง เหมาะลงทุนเพิ่ม หลังเศรษฐกิจโตโดดเด่น-ราคาหุ้นถูกสุดในเอเชีย

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 24, 2013 14:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ม.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ทิสโก้ เวลธ์ ชี้เศรษฐกิจโลก 2556 เริ่มฟื้นตัว ชูตลาดหุ้นจีนเป็นพระเอกในการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน หลังปัจจัยสนับสนุนเพียบ ทั้งเศรษฐกิจขยายตัวโดดเด่น ราคาหุ้นถูกสุดในภูมิภาคเอเชีย และเงินไหลลงทุนไหลเข้ามากที่สุดในโลก หนุนตลาดหุ้นเติบโตแรง พร้อมแนะลงทุนหุ้นเอเชีย ทองคำ ส่วนหุ้นไทยให้รอจังหวะลงทุนช่วงตลาดหุ้นย่อตัว ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดย ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Dr.Kampon Adireksombat, Senior Economist, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2556 เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจในประเทศสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการคลายความกังวลเรื่องหน้าผาทางการคลังที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นถึงแม้จะยังจัดการได้ไม่เสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่ได้จัดการเรื่องการลดรายจ่าย และการขึ้นเพดานการก่อหนี้ภาครัฐ ซึ่งกว่าจะจัดการได้เสร็จสิ้น คงต้องรอจนถึงช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี อย่างไรก็ตาม ภาคเศรษฐกิจแท้จริงของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ และการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และน่าจะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวได้ในระดับที่สูงกว่า 2% ด้านเศรษฐกิจในยูโรโซนนั้น แม้ช่วงหลังความผันผวนจะลดลง แต่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจยังมีความเปราะบางต่อเนื่อง โดยความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจยุโรปที่ควรจับตามองในระยะใกล้คือ การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ซึ่งจะมีขึ้นประมาณวันที่ 24-25 ก.พ.นี้ หากนายมาริโอ มอนตี ไม่ได้รับคัดเลือกเป็นรัฐบาลสมัยที่สองอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ โดยรวมเศรษฐกิจของยูโรโซนมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัวต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรกนี้ ก่อนจะเริ่มมีการหยุดหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับเศรษฐกิจจีน การฟื้นตัวเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน โดยล่าสุดจีนได้ประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2555 ซึ่งเติบโตสูงถึง 7.9% ขณะที่ตัวเลขจีดีพีทั้งปีเติบโต 7.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่ทางการจีนได้ประมาณการไว้ที่ 7.5% โดยภาพรวมมีการลงทุนภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัว ตามสภาวะที่เศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐซึ่งเน้นพัฒนาความเป็นเมืองตามการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยภาพรวม Deutsche Bank ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้น่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับไม่ต่ำกว่า 8% ด้านเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 4.5% โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ภาคการส่งออกน่าจะฟื้นตัวได้เล็กน้อย สำหรับการลงทุนภาครัฐ เรามองว่ายังมีความเสี่ยงในการลงมือสร้าง และการเบิกจ่ายที่ล่าช้า สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเรามองว่าจะเร่งตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.3% โดยมีสาเหตุจากการเร่งตัวขึ้นของราคาอาหาร สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% จนถึงครึ่งปีแรก และมีความเป็นไปได้ว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง ด้านนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth) กล่าวว่า จากภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว และปัจจัยสนับสนุนการจากเคลื่อนย้ายสภาพคล่อง (Fund Flow) ทั่วโลก ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยสภาพคล่องส่วนใหญ่จะไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนในปี 2556 นี้ การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงเป็นการลงทุนที่จะช่วยตอบโจทย์การสร้างความมั่ง และสร้างผลตอบแทนในระดับน่าพึงพอใจ โดย Fund Flow ทั่วโลกได้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง (Risky Asset) มากขึ้น เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูง ขณะที่ผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรให้ผลตอบแทนในระดับต่ำหรืออาจจะติดลบได้ สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจ และทิสโก้ เวลธ์ แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็นอันดับแรก คือ ตลาดหุ้นจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มี Fund Flow ไหลเข้ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ต้นปี อีกทั้งเศรษฐกิจของจีนมีการขยายตัวที่โดดเด่น เห็นได้จากการประกาศตัวเลขล่าสุดที่ระบุว่าเศรษฐกิจในปี 2555 ทั้งปี มีการเติบโตสูงถึง 7.8% อีกทั้งดัชนีชี้นำต่าง ๆ ก็มีสัญญาณที่เป็นบวก ซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะยังมีการขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับราคาหุ้นจีนยังอยู่ในระดับที่ถูกว่าราคาหุ้นภูมิภาคเอเชียเฉลี่ยถึง 30% จึงถือว่าราคาหุ้นจีนในขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ถูก เมื่อเทียบกับสัญญาณทางเศรษฐกิจที่เติบโตโดดเด่น ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหุ้น รองลงมา คือ ตลาดหุ้นเอเชีย แปซิฟิก (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีการเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง แต่ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง แนะนำให้รอจังหวะซื้อในช่วงที่ตลาดหุ้นย่อตัว ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุด เนื่องจากจะได้ปรับประโยชน์จาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นที่มีการนำเข้าทองคำสูงที่สุด รวมถึงความต้องการทองคำของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแรงสนับสนุนให้ราคาทองคำในอนาคตจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้อีก โดยในปีนี้ประเมินราคาทองคำในตลาดโลกไว้ที่ 1,850 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ