ห้องสัมมนา SET in the City 2004 ล้น ปตท.ชูรายได้-ไอพีโอไทยน็อคซ์ตรึงนักลงทุน

ข่าวทั่วไป Monday November 15, 2004 15:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นักลงทุนล้นห้องสัมมนา แห่ฟังผู้บริหารปตท.คาดการณ์รายได้ ด้านไทยน็อคซ์แจงข้อมูลไอพีโอละเอียดยิบ บล.กรุงศรีแนะ 8 หุ้นเด่น ผู้เชี่ยวชาญแนะสมดุลรายได้กับหนี้สิน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงงาน มหกรรมการลงทุนครบวงจร ครั้งที่ 3 หรือ SET in the City 2004 ที่จัดขึ้นภายใต้ แนวคิด Shareholders: the Power of Ownership ไม่เป็นเพียงเจ้าของ....แต่คุณคือผู้ถือหุ้น ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 11- วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2547 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า ในวันที่ 3 ของงาน นักลงทุนบุคคล ประชาชนทั่วไปรวมทั้ง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ยังคงให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมงานอย่างคึกคักต่อเนื่อง
ผู้ที่เข้าชมงานให้ความสนใจต่อกิจกรรมการสัมมนามากขึ้น เนื่องจากมีหัวข้อที่น่าสนใจที่หลากหลายพร้อมกับให้ความรู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสัมมนาในหัวข้อ รวยหรือจนต่างกันแค่ 2 บาท แนวโน้มตลาดหุ้นก่อนและหลังเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังได้เชิญ ดารานักแสดงมาพูดคุย เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการการลงทุนอย่างน่าสนใจ
ประชาชนยังให้ความสนใจร่วมคุย เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานและแนวโน้มภาวะอุตสาหกรรม จากผู้บริหารของ บริษัทจดทะเบียน หลายรายเ ช่น บริษัทปตท. รวมทั้งยังสนใจข้อมูลหุ้นไอพีโอ ไทยน็อคซ์อีกด้วย นอกจากนี้กิจกรรมสัมมนาที่จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ก็มีผู้เข้าฟังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
นายพิชัย ชุณหวชิระ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ การเงินและบัญชีองค์กร บริษัทปตท. จำกัด(มหาชน) ซึ่งได้พบปะกับนักลงทุนในบริเวณ เอเทรี่ยม กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทว่า บริษัทฯคาดว่าในปีนี้จะมีรายได้รวม 600,000 ล้านบาท โดยจะมาจากการขายน้ำมัน 400,000 ล้านบาท และอีก 200,000 ล้านบาท จะได้จากการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้คาดธุรกิจปิโตรเคมีในเครือ ได้แก่ บริษัทเอ็นพีซี จำกัด(มหาชน) บริษัททีโอซี จำกัด(มหาชน) และ บริษัทอโรเมติกส์ จำกัด(มหาชน) จะมีผลประกอบที่โดดเด่น ซึ่งจะเสริมรายได้ของบริษัทฯอีกด้านหนึ่ง
นายพิชัยยังกล่าวว่า ในปีนี้กำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20 บาท จาก 15 บาทในปีที่แล้ว
ทางด้านห้องสัมมนา มีตติ้งรูม 3 ซึ่งมีทีมผู้บริหารบริษัทไทยน็อคซ์ จำกัด(มหาชน) นำโดย นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการ ได้มาให้ข้อมูลการจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท ที่มีบล. ทิสโก้ เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย แก่นักลงทุน ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม
นายประยุทธกล่าวว่า บริษัทฯจะนำหุ้นจำนวน 3,000 ล้านหุ้นออกจำหน่ายแก่นักลงทุนโดยแยกเป็นหุ้นใหม่ 330 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิม 2,670 ล้านหุ้น และจะจำหน่ายให้นักลงทุนสถาบัน ในและต่างประเทศ 45% ผู้มีอุปการะคุณ 10% และประชาชนทั่วไป 45% โดยจะเปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2547 หลังจากที่กำหนดราคาขายในวันที่ 18 พฤศจิกายน เนื่องจากจะมีการทำ Book Building กับนักลงทุนสถาบัน ในวันที่ 17 พฤศจิกายน และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2547
ช่วงของราคาหุ้นที่กำหนดในการทำ Book Building คือ 2-2.80 บาท ต่อหุ้น ขณะที่มูลค่าตามบัญชีของบริษัทฯในปีที่แล้วอยู่ที่ 1.32 บาท นักลงทุนที่จะจองซื้อหุ้นบริษัทฯจะได้รับเงินปันผลในทันที โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50%
ปัจจุบันบริษัทไทยน็อคซ์มีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 65% และอีก 35% จำหน่ายในต่างประเทศ มีกำลังการผลิต 200,000 ตันต่อปี
ขณะที่การสัมมนาของบล.กรุงศรีอยุธยา ที่แนะหุ้นเด่นปี 48 แก่นักลงทุนว่า มีทั้งหมด 8 บริษัท ประกอบด้วยหุ้น ITD หรือ อิตาเลียน-ไทย เนื่องจากการเข้าซื้อหุ้น SCIL ของอินเดีย ส่งผลให้ ITD กลายเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย และมีแนวโน้มว่าจะมีมูลค่างานประมูลที่อินเดียสูงถึง 5.3 แสนล้านบาท ประกอบกับปี 48 ธุรกิจประเภทนี้จะโตขึ้น
หุ้นที่สอง คือ CVD เนื่องจากปี 2547 นี้ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 10.2% ต่อมา คือ HANA เพราะธุรกิจหลัก คือ IC และ PCBA ยังมีสัดส่วนรายได้ที่ 40% และ 41% คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้อยู่ที่ 5% ขณะที่หุ้นที่สี่ คือธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีกำไรจากการขายหุ้นไทยออยล์ (TOP) ประมาณ 361 ล้านบาท และเหลือเป็น Hidden asset ประมาณ 47 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่ 5 ที่ แนะนำ 8 คือ KK หรือ เกียรตินาคิน ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติเพื่อยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ หุ้นตัวที่หก คือ CPI เนื่องจากอัตราการบริโภคน้ำมันพืชเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3.34% และคาดว่าเงินปันผลอยู่ที่ 0.54 บาท ขณะที่หุ้นตัวที่เจ็ด คือ ATC เนื่องจากความต้องการในผลิตภัณฑ์นี้ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงได้รับความเกื้อหนุนจากธุรกิจกลุ่ม PTT และตัวสุดท้าย คือ กลุ่มธุรกิจการขนส่ง ได้แก่ RCL ที่ได้รับผลดีจากการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ คาดว่าปี 2547 จะมีกำไรต่อหุ้น 4.10 บาท ส่วนปี 2548 จะมีกำไรต่อหุ้น 4.20 บาท
ทางด้านการสัมมนา “รวยหรือจนต่างกันแค่ 2 บาท” โดย รศ.ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ, คุณนวพร เรืองสกุล และสกาวใจ พูลสวัสดิ์ นักแสดง นั้นก็ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนได้อย่างมาก โดยผู้ร่วมสัมมนาได้ร่วมกันให้ความหมายของหัวข้อที่นำมาสัมมนาว่า หมายถึง การที่จะมองว่าเงิน 2 บาทมีค่าอย่างไร ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ถ้ามองว่าพอ ก็ใช้พอ ถ้ามองว่าไม่พอก็ใช้เกินเป็นหนี้ สมมติเทียบกับเงิน 100 บาท ถ้าใช้99 บาท ก็เหลือเงินออม 1 บาท แต่ถ้าใช้ 101 บาท ก็ใช้เกินเป็นหนี้อีก 1 บาท นัยนี้ จะเห็นได้ว่า ความต่างกันเพียง 2 บาท แต่ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างกันมาก ระหว่างเงินออมและเป็นหนี้
โดยทั้งเงินออมและหนี้นี้สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเท่าในเวลาต่อไป นอกจากนั้น ยังสะท้อนถึงทัศนคติที่แตกต่างกันยังแสดงถึงการดำเนินชีวิตต่อไปในภายหน้า ว่าจะมีเงินเหลือเก็บหรือมีหนี้สินตลอดชีวิต แต่ถ้าหากมีหนี้สินแล้วควรจะเผชิญหน้าไม่ควรหนีปัญหา ทางที่ดี คือ ไม่ควรมีหนี้สินเลยเพราะอาจจะเกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวได้ นอกจากการเป็นหนี้เพื่อนำไปใช้การเพิ่มขีดความสามารถในการหารายได้เพิ่มในภายหลัง เช่น การศึกษา
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 /
กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ