กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--ธนชาติ
บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 698 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 สำหรับในงวด 9 เดือนของปี 2548 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 111 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 1.62 บาท
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 698 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 สำหรับในงวด 9 เดือนของปี 2548 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 111 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 1.62 บาท โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิมาจากการที่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 33.8 เป็นผลทำให้รายได้จากการเช่าซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 33.4
สำหรับผลประกอบการของบริษัทย่อยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 บมจ.ธนาคารธนชาต ขาดทุน 85.9 ล้านบาท บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต กำไร 11.0 ล้านบาท บลจ. ธนชาต กำไร 12.3 ล้านบาท บจ. ธนชาตประกันภัย กำไร 40.1 ล้านบาท บจ. ธนชาตประกันชีวิต กำไร 40.0 ล้านบาท บจ. บริหารสินทรัพย์ เอ็นเอฟเอส กำไร 133.8 ล้านบาท บจ. บริหารสินทรัพย์ แม๊กซ์ กำไร 30.3 ล้านบาท
โดยสาเหตุที่ธนาคารธนชาต มีกำไรลดลงเป็นผลมาจากการโอนย้ายการดำเนินธุรกิจเช่าซื้อจากบริษัทเงินทุนธนชาติ ไปยังธนาคารซึ่งตามวิธีการบันทึกบัญชีที่ถือปฎิบัติ ธนาคารต้องบันทึกค่านายหน้าและค่าใช้จ่ายเช่าซื้อทันที ณ วันที่เกิดรายการ ในขณะที่การรับรู้รายได้ตามสัญญาเช่าซื้อจะทยอยรับรู้ตามงวดที่รับชำระตามวิธีผลรวมจำนวนปี (Sum-of-the-year-digits) ส่งผลให้ในช่วงแรกธนาคารมีค่าใช้จ่ายดำเนินการที่สูง ในขณะที่ด้านรายได้ที่รับรู้อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่เกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อเช่าซื้อ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางธุรกิจ
ในส่วนของสินทรัพย์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม เท่ากับ 208,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2547 จำนวน 23,922 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 โดยส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 20,168 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7
นายศุภเดช ยังเปิดเผยถึงธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มธนชาต ว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ยอดลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อมีจำนวน 109,042 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72.6 ของยอดเงินให้กู้ยืมทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่เท่ากับ 81,518 ล้านบาท ยอดลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 33.8 และสำหรับยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ปล่อยใหม่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีจำนวน 15,909 ล้านบาท เปรียบเทียบกับจำนวน 12,024 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.3 และยอดรวมจำนวนรถยนต์ที่บริษัทและบริษัทย่อย ให้สินเชื่อเช่าซื้อ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 เป็นจำนวนถึง 383,450 คัน โดยเพิ่มจากสิ้นปีที่แล้ว 86,262 คัน และเพิ่มจากสิ้นไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 116,984 คัน เป็นผลให้รายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทและบริษัทย่อย ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เผยแพร่ข่าวโดย กลุ่มธนชาต
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ศตวรรษ เสือแก้ว, ขนิษฐา ไกรดานนท์
โทรศัพท์ 0-2658-1444 ต่อ 3021 และ 3008--จบ--