กรุงเทพฯ--1 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ที่ระดับ ‘A(tha)’ และ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิของ SCC ที่ระดับ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจต่างๆ ซึ่งได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจปิโตรเคมีมีความท้าทายในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์และ ธุรกิจกระดาษอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 2556 ในขณะเดียวกันสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ของธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจวัสดุก่อสร้างน่าจะเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 39 ในปี 2554 และช่วยบรรเทาผลกระทบจากลักษณะความเป็นวัฏจักรของธุรกิจปิโตรเคมีได้ในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า
สถานะความเป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจปูนซีเมนต์ ธุรกิจกระดาษ และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เป็นปัจจัยหลักที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ น่าจะยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจ PVC ปูนซีเมนต์ กระดาษ รวมถึง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ในประเทศไทย ได้ในอีกห้าปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทฯมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง รวมถึง อุปสรรคทางการตลาดที่สูงที่ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องเผชิญในการเข้ามาแข่งขันในธุรกิจดังกล่าว
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าจากการปรับตัวสูงขึ้นของ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของธุรกิจปิโตรเคมีในครึ่งหลังของปี 2556 รวมถึงกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 ทั้งนี้ความรวดเร็วในการฟื้นตัวของ ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบในธุรกิจปิโตรเคมีจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนด อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC ในปี 2556 โดยในปี 2555 อัตราส่วนกำไรที่อยู่ในระดับต่ำของธุรกิจปิโตรเคมีได้ส่งผลให้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC ลดลงเป็น ร้อยละ 8.4 ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2555 จากร้อยละ 9.5 ของทั้งปี 2554
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ของ SCC จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงในปี 2556 จากแผนการลงทุนที่สูง ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวของ SCC น่าจะอยู่ในระดับ 3.25 ถึง 3.5 เท่าในปี 2556 ถึง 2557 เมื่อเทียบกับอัตราส่วนหนี้สินที่ฟิทช์ประมาณการไว้สำหรับ ณ สิ้นปี 2555 ที่ 3.4 เท่า
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมี ความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ รวมถึงการที่กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯอ่อนไหวต่อราคาพลังงานที่อาจสูงขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าบริษัทฯ น่าจะมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในระดับหนึ่ง รวมถึงทางเลือกในการขายเงินลงทุนที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้ในอีก 24 เดือนข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามฟิทช์คาดว่าการปรับเพิ่มของอันดับเครดิต ไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 18 เดือนข้างหน้า เนื่องจากแผนการลงทุนในระดับที่สูงของบริษัทฯ
ปัจจัยลบ
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขาย รวมถึงกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ที่ลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง
- สถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลงจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาด หรือ จากการเข้าซื้อกิจการด้วยเงินลงทุนที่สูง ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สูงกว่า 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง