กรุงเทพฯ--7 ก.พ.--ฝ่ายประชาสัมพันธ์งานฯ
“บางระจัน บางระจัน บางระจัน” ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ จะปลุกใจความเป็นไทยให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที นึกถึงเรื่องการต่อสู้ของบรรพบุรุษจากการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ แต่เด็กรุ่นหลังที่ไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์จะรับรู้เรื่องราวความกล้าหาญของพวกเขาได้อย่างไร จะปลูกฝังความเชื่อ ความศรัทธา ความสำนึกในบุญคุณ ความหวงแหนต่อแผ่นดินที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อของบรรพบุรุษได้อย่างไร
เทศกาล “วีรชนบางระจัน วีระชนโลก” จึงเกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความหวงแหนและช่วยกันรักษาแผ่นดินไทยที่บรรพบุรุษแลกมาด้วยเลือดเนื้อ รวมถึงการรำลึกถึงวีรชนผู้กล้าทั่วโลก โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดย จังหวัดสิงห์บุรี ร่วมกับ กลุ่มพัฒนาจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ได้แก่ ลพบุรี ชัยนาท อ่างทอง ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา องค์การบริหารส่วนจังหวัดสิงห์บุรี และ บริษัท ลาเวลล์ เอ็นเตอร์เทนเม้น จำกัด รวมถึงลูกหลานวีรชนบางระจัน นายสุรพล แสวงศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า จากเดิมเป็นการจัดงานรำลึกถึงวีรชนผู้กล้าบรรพบุรุษของพวกเราชาวไทย เป็นงานในระดับอำเภอเท่านั้น แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พวกเราทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ระดมแนวคิดที่จะสร้างสรรค์งานนี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นใน เพื่อขยายการรับรู้ และสร้างจิตสำนึกให้กับลูกหลานไทยทุกคน ว่าแผ่นดินที่พวกเรายืนอยู่ปัจจุบัน ได้มาอย่างไร ไม่ใช่เฉพาะเด็กๆ ลูกหลานชาวสิงห์บุรีเท่านั้นแต่เราต้องการให้เด็กไทยและเด็กทั่วโลกได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน และกระตุ้นให้พวกเขาหันกลับมามองข้างหลัง เพื่อสร้างความรัก ความศรัทธา ในเสรีภาพ ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและสวยงาม ซึ่งเราได้จับมือกับค่าย อาลาโม่ รัฐเท๊กซัส สหรัฐอเมริกา เพื่อเริ่มต้นแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ในการที่จะพัฒนาแนวคิด พัฒนาขั้นตอนการทำงาน โดยเรามีเป้าหมายเพื่อต้องการสร้างให้ บางระจันเป็นเมืองหลวงแห่งการเรียนรู้เรื่องวีรชนผู้กล้า ให้ไปสู่การรับรู้ในระดับโลก”
นายทอดด์ ทองดี หนึ่งในผู้ร่วมสร้างสรรค์เทศกาลวีรชนบางระจัน วีระชนโลก กล่าวว่า “เขาว่าเด็กก็เหมือนผ้าขาว แต้มสีอะไรก็ได้สีนั้น บางคนก็ว่าเด็กเหมือนน้ำมัน ปั้นอย่างไรก็ได้อย่างงั้น เด็กบางระจันจึงได้รับการปั้นรูป ปลุกจิต ความเชื่อความศรัทธา ที่มีต่อบรรพบุรุษ มาโดยตลอด การจัดงานในรูปแบบใหม่นี้ก็เพื่อต้องการส่งผ่านเรื่องราวและปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชนทั่วทุกพื้นที่ในโลกได้รับรู้เรื่องราวที่มาที่ไปของแผ่นดินที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน อย่างเช่น อาลาโม่ รัฐเท๊กซัส สหรัฐอเมริกา ก็มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ มีการสูญเสียเลือดเนื้อบรรพบุรุษ และพวกเขาก็เป็นฮีโร่ของลูกหลานอาลาโม่ เราจึงมีโครงการจะแลกเปลี่ยนเยาวชนที่นี่กับทางค่ายอาลาโม่ โดยทางประธานค่ายอาลาโม่จะเริ่มมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ก่อนจะพัฒนาไปสู่การทำกิจกรรมร่วมกัน สิ่งเราตั้งเป้าหมายกันไว้ก็คือ ให้ ค่ายบางระจันเป็นเมืองหลวงของวีรชนโลก ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี สำหรับทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว เพราะก่อนที่เราจะก้าวสู่อาเซียน ถ้าเราปักธงที่นี่เป็นเมืองหลวง นักท่องเที่ยวก็จะหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวมากขึ้น มีจุดขายที่โดดเด่นและชัดเจน ที่สำคัญคือ ได้ปลูกฝังให้เด็กๆ รักผืนแผ่นดิน และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีอยู่ในตำราแล้ว”
เทศกาล “วีรชนบางระจัน วีระชนโลก” ระหว่างวันที่ 4-6 ก.พ. 2556 ที่ผ่านไป ในรูปแบบใหม่ยิ่งใหญ่อลังการ ประสบความสำเร็จ ประชาชนหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ทั้ง การแสดง แสง สี เสียง “247 ปี เกริกฟ้าก้องปฐพีสดุดีวีรชนบ้านบางระจัน” อันน่าตื่นตาตื่นใจ สะท้อนจิตวิญญานของวีรชนผู้กล้าบางระจันออกมา จนทำให้ผู้ชมน้ำตาคลอเบ้า และฮึกเหิมเมื่อเพลง บางระจัน กระหึ่มขึ้นในตอนจบ ส่วนเวทีอื่นๆ อาทิ เท่ง เถิดเทิง ลานนา คัมมินส์ หงา คาราวาน การแสดงจากลูกหลานชาว อาลาโม่ รัฐเท๊กซัส ฯลฯ ก็สนุกสสนานได้รับความสนใจไม่แพ้กัน
ลูกหลานชาวบางระจันที่ได้มีส่วนร่วมแสดงในเทศกาลครั้งนี้ ทั้งรุ่นเล็กอย่างน้องๆ จากโรงเรียน วัดพรมสาครหรือรุ่นใหญ่จากวิทยาลัยนาฎศิลป์อ่างทอง ทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า “เราเป็นชาวบางระจัน ต้องรู้ประวัติศาสตร์บรรพบุรุษ และก็ภูมิใจที่มีส่วนร่วมกับเทศกาลครั้งนี้ รวมถึงการได้มีส่วนช่วยให้เรื่องราวของวีรชนบางระจันได้ถูกเผยแพร่ไปสู่ชาวโลก เราพร้อมที่จะถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการแสดงศิลปะทุกแขนงที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูและผู้รู้ และขอเชิญชวนทุกท่านเป็นร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำพา บางระจันเป็นเมืองหลวงวีรชนโลก รวมถึงร่วมภาคภูมิใจวีรชนบางระจันผู้กล้าของแผ่นดินไทย”
เพียงก้าวแรกของการจัดงาน ยังยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ เชื่อว่า หากทุกภาคส่วนร่วมด้วยกัน การก้าวสู่ “เมืองหลวงวีรชนโลก” ไม่ไกลเกินฝันแน่นอน ...