กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย ประกาศผลประกอบการปี 2555 ทะลุ 40,000 ล้านบาทเติบโต 13% จากปี 2554
มร. บาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย และอินโดไชน่า เปิดเผยถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “ในโอกาสครบรอบ 80 ปีในการทำธุรกิจของยูนิลีเวอร์ในเมืองไทย เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลิตภัณฑ์ในเครือยูนิลีเวอร์สามารถตอบสนองความต้องการของคนไทยได้เพิ่มขึ้น
ซึ่งความสำเร็จนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของยูนิลีเวอร์ระดับโลกที่จะเติบโตทางธุรกิจเป็นสองเท่า ในขณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ทั้งนี้ ผลประกอบการที่เติบโตขึ้นของเราในประเทศไทยในปี 2555 ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการสร้างและพัฒนาตลาดในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ ผสานกับนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืนและให้ผลเด่นชัด” มร. ราวเออร์ส กล่าว
มร. ราวเออร์ส เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาความสำเร็จของยูนิลีเวอร์เป็นผลมาจากการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน กลุ่มอาหาร และไอศกรีมมร. ราวเออร์ส ยังกล่าวเสริมว่า “ปี 2555 ยังเป็นปีที่เราได้ให้ความเชื่อมั่นกับคนไทยว่าเราจะสร้างธุรกิจในเมืองไทยต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ด้วยการลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เพื่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาระดับภูมิภาค ซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของยูนิลีเวอร์ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของยูนิลีเวอร์ประจำประเทศไทย บนถนนพระราม 9 ด้วยงบลงทุน 2,600 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในปี 2557 ด้วยแนวคิด “การทำงานแบบคล่องตัวไร้ขีดจำกัด และเป็นอาคารอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” และเพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่มีต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจในระยะยาวในประเทศไทย มร. ราวเออร์ส กล่าวต่อว่า “ในปี 2556 นี้
ยูนิลีเวอร์เตรียมเปิดโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนชนิดน้ำ ภายในพื้นที่โรงงานของยูนิลีเวอร์ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ด้วยงบลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท และงบลงทุนอีก 2,000 ล้านบาทเพื่อสร้างศูนย์กระจายสินค้า ณ บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์”
ในด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล นางวรรณิภา ภักดีบุตร รองประธานกรรมการบริหารด้านการตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม เผยถึงไฮไลต์ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง “ซันซิล”ผลิตภัณฑ์ด้านเส้นผมอันดับ 1 ของไทย ที่สามารถกระตุ้นการเติบโตในตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังการสระ (ครีมนวดผม ทรีทเม้นต์ ฯลฯ) โดยการมุ่งเน้นการกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภคให้ใช้ครีมนวดผมทุกครั้งหลังสระ พร้อมกลยุทธ์เสริมทั้งด้านการจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย การให้ผู้บริโภคได้มีประสบการณ์กับสินค้าและการสื่อสารทุกช่องทางเพื่อให้ความรู้เรื่องประโยชน์ของการใช้ครีมบำรุงผม จนทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2555
นางวรรณิภาเปิดเผยต่อถึงความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวสำหรับผู้ชาย ซึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จสูงมากทั้งผลิตภัณฑ์เคลียร์ เมน และวาสลีน เมน เพราะการเล็งเห็นโอกาสในช่องทางตลาดผู้ชายซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีช่องทางการเติบโตสูงที่สุดในประเทศไทย จากข้อมูลพบว่าร้อยละ 70 ของผู้ชายไทยยังคงใช้ผลิตภัณฑ์ผิวหน้าของผู้หญิง และพบว่าปี 2555 ตลาดสินค้ากลุ่มผู้ชายเติบโตขึ้น 17% เปรียบเทียบกับปี 2554 ที่เติบโตเพียง 11% ดังนั้นเราจึงบุกเข้ามาทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ผู้ชายเพิ่มขึ้นทุกช่องทาง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เคลียร์ เมน สามารถเพิ่มการใช้ผลิตภัณฑ์จากเดิม 7% ในปี 2554 เป็น 9.9% ในปี 2555 ในขณะที่ผลิตภัณฑ์วาสลีน เมน ก็สามารถเพิ่มอัตราการใช้จาก 3.3%เป็น 3.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ยอดขายรวมของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึง 25% ในปี 2555
ด้าน นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน อาหาร และไอศกรีม เปิดเผยถึงความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจอาหาร ไอศกรีม และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนว่า “ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความเติบโตของเรา คือการสร้างและพัฒนาตลาดผลิตภัณฑ์ ร่วมกับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เราตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างตรงจุด ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์โจ๊กคนอร์ ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการบริโภคจาก 30% ในปี 2553ให้เป็น 35% ได้ในปี 2555 ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2553 ถึง 49% ทั้งนี้ เรามีเป้าหมายว่าภายในปี 2557 เด็กไทย 60% จะได้ทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมีอัตราอยู่ที่ 40%
ในด้านความสำเร็จของกลุ่มสินค้าไอศกรีม ไฮไลต์คือความสำเร็จของไอศกรีมแม็กนั่ม ซึ่งมีการปรับสูตรใหม่พร้อมกับการเปลี่ยนมาใช้ช็อกโกแลตเบลเยี่ยม ทำให้ไอศกรีมแม็กนั่มกลายเป็นที่นิยมสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใหญ่ซึ่งเดิมมีการบริโภคไอศกรีมน้อย หลังจากการรีลอนช์ ไอศกรีมแม็กนั่มสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยอดขายเติบโตถึง 400%โดยในเดือนที่ขายดีที่สุด มียอดขายเทียบเท่ากับยอดขายไอศกรีมแม็กนั่มปี 2554 ทั้งปี
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน มีการพัฒนานวัตกรรมขั้นสูงในกลุ่มทำความสะอาดเสื้อผ้า พร้อมทั้งการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ผงซักฟอกแบบธรรมดา เป็นแบบเข้มข้น (Concentrate) ทำให้ผลิตภัณฑ์บรีส มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 25% ในปี 2555