เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ครองแชมป์อันดับ 1 ยาวนานต่อเนื่อง รุกรอบด้าน พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำโบรกเกอร์แนวหน้าระดับภูมิภาคอาเซียน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday February 12, 2013 14:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--เมย์แบงก์ กิมเอ็ง หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แข็งแกร่ง ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ยาวนานต่อเนื่อง ขึ้นเป็นปีที่ 12 พร้อมเดินหน้าให้บริการทางด้านการลงทุน และหลักทรัพย์ที่หลากหลาย ครอบคลุม 2 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ ให้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคง มุ่งขยายฐานลูกค้าและรักษามาร์เก็ตแชร์ครบทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเติบโต 15 % สิ้นปีนี้ พร้อมขึ้นแท่นโบรกเกอร์แนวหน้าระดับภูมิภาคอาเซียน ภายในปี 2558 นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่าเป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคอาเซียน ภายในปี 2558 บริษัทฯ จึงมีแผนธุรกิจที่จะพัฒนาในหลากหลายด้านทั้งธุรกิจหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ โดยในปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3,235 ล้านบาท และมีกำไรสูงถึง 738 ล้านบาท คิดเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.87% โดยความสำเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 90% ดอกเบี้ยรับ 5% และวาณิชธนกิจ 3 % โดยปัจจุบันหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ 11.86% และเมื่อดูจากส่วนแบ่งการตลาดในเดือนมกราคม 2556 ได้ขยับขึ้นสูงเป็น 12.5% ซึ่งเป็นการเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศ 17 % นักลงทุนสถาบันในประเทศ 4-4.5 % และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ อีก 2-2.5 % คิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับเราประมาณ 120,000 บัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณครึ่งหนึ่ง และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มเป็น 140,000 บัญชี ในปีนี้ ด้วยการสนับสนุนของธนาคารรระดับโลก อย่างธนาคารเมย์แบงก์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันให้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่แข็งแกร่งทั้งโครงสร้าง การเงิน ตลอดจนครบครันในการให้บริการ บริษัทมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี ทำให้ Credit Rating อยู่ที่ AA ซึ่งเทียบเท่ากับธนาคารชั้นนำของไทย เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ด้านสถาบันในประเทศ บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 1 ใน 10 รายแรกของสถาบันในประเทศทั้งหมด ในขณะที่ด้านสถาบันต่างประเทศ การเข้ามาของเมย์แบงก์ทำให้งานด้านสถาบันเพิ่มมากขึ้น ด้านสายงานวาณิชธนกิจ ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เดินหน้าไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยกำลังจะมีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัท และมีกองทุนอินฟรา สตรัคเจอร์ฟันด์ (Infrastructure Fund) ประมาณ 2-3 บริษัท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) หรือ กองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust (REIT) 2-3 บริษัท โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มเมย์แบงก์มีการสนับสนุนงานด้าน Global wholesale Banking ซึ่งมีความพร้อมและแข่งขันได้มากในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทไทยที่จะลงทุนในต่างประเทศ จะเห็นได้จากปีที่ผ่านมาธนาคารเมย์แบงก์ ได้ปล่อยเงินกู้ ให้แก่กลุ่มไทยเบฟสูงถึง 500 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 12.5 หมื่นล้านบาท ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศนั้น บริษัทมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 11.86% เป็น 12-13% ในปี 56 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มาอยู่ที่ระดับ 25% และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 บัญชี ทั้งนี้ บริษัทมีการเตรียมการที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีก 3 — 4 สาขา เพื่อเป็นฐานในการช่วยขยายตลาด โดย บริษัทจะมุ่งเน้นกิจกรรมด้านการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการอบรมพื้นฐานการลงทุน การให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะตลาดและการวิเคราะห์หลักทรัพย์จากทีมงานวิจัยของบริษัท ทั้งนี้เพื่อช่วยสนับสนุนให้ผู้ลงทุนมีอาวุธครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน แต่ก็จะมีกิจกรรมด้านโปรโมชั่นอื่นๆ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ลงทุนตลอดปี ในด้านการปล่อยสินเชื่อมาร์จินด้วยการสนับสนุนของกลุ่มธนาคารเมย์แบงก์ บริษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่อมาร์จินที่ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อก่อนมาก โดยมีการควบคุมดูแลที่รัดกุมและมีความเสี่ยงน้อยมาก ปัจจุบันบริษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่อมาร์จินถึง 12,000 ล้านบาท ทางด้านธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทฯ มีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (Derivative Warrants) เป็นระยะๆ และมีเป้าหมายที่จะออกในปี 2556 ไม่น้อยกว่า 100 สัญญา นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมการที่จะออกตราสารประเภทหุ้นกู้อนุพันธ์ เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุน และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเป็นผู้แทนจำหน่ายตราสารดังกล่าวจากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง สำหรับธุรกิจการซื้อขายอนุพันธ์ในประเทศนั้น บริษัทเห็นว่าก็ยังคงสามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้อีก โดยเฉพาะในด้านการนำมาใช้เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงจากความกังวลในภาวะตลาดขาลง ซึ่งทางบริษัทจะพยายามเน้นการให้ความรู้ด้านกลยุทธ์แก่ผู้ลงทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะให้บริการซื้อขายอนุพันธ์ในต่างประเทศด้วย โดยจะร่วมมือกับกลุ่มเมย์แบงก์ ในการพัฒนาระบบงาน และดำเนินงาน โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทฯ มีแผนที่จะปรับปรุงด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย รวดเร็ว มากขึ้น โดยมุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วแต่มีเสถียรภาพ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาซอฟแวร์ที่ใช้ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์ให้เข้าได้กับทุกอุปกรณ์สื่อสาร ตลอดจนให้ความสำคัญกับกิจกรรมการสื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ มากขึ้น สำหรับในด้านสินค้าและบริการนั้น บริษัทมีการเร่งขยายสินค้าและบริการมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และมีแผนที่จะขยายธุรกิจด้าน Private Fund เพื่อเป็นการเสริมกับธุรกิจ Private Wealth ที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินการลงทุน รวมทั้งมีแผนที่การขยายบริการลงทุนในด้านตราสารหนี้ในประเทศ และขยายบริการไปในด้านการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปีนี้ สำหรับบริการ Offshore Trading ซึ่งได้เปิดบริการไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มที่ดีและเรามองว่านักลงทุนต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างมากในบริการนี้ เราจึงเดินหน้าให้ความรู้และขยายฐานนักลงทุนด้านนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากการมุ่งเน้นการให้บริการแก่ลูกค้าบุคคลซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทแล้ว ในปีนี้ บริษัทฯมีแผนขยายฐานลูกค้าสถาบันให้มีสัดส่วนมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเมย์แบงก์ทั้งในด้านกำลังคนและในด้านบทวิจัย ซึ่งกลุ่มเมย์แบงก์ มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการให้บริการนักลงทุนสถาบันทั้งในแง่วาณิชธนกิจและสินค้าด้านต่างๆ และมีเป้าหมายจะทำงานเป็นทีมเดียวกันทั้งภูมิภาค และคาดว่าน่าจะขยายฐาน ในด้านสถาบันได้มากขึ้น ซึ่งจะไปสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ในการที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ารายย่อยและสถาบันด้วยดีเสมอมา จากนี้ไปเราจะมุ่งมั่นเสริมทัพธุรกิจให้แข็งแกร่งในทุกๆสายงาน ครอบคลุมครบทุกผลิตภัณฑ์ เดินหน้าให้ความรู้ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเป็นการเปิดทางเลือกพร้อมกับโอกาสในการลงทุนที่ดี และด้วยแผนงานทั้งหมดที่กำหนดไว้ในปีนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนบทบาทของกลุ่มเมย์แบงก์ ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาค และสามารถรักษาบทบาทความเป็นผู้นำของเมย์แบงก์กิมเอ็งในไทยได้อย่างแน่นอน” นางบุญพร กล่าวทิ้งท้าย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ