กรุงเทพฯ--13 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ (ครั้งที่ 1/2556) ของบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิต ภายในประเทศระยะสั้นที่ F1(tha)) ซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2560 ที่ระดับ ‘A(tha)’ โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะนำมาใช้ชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ถึงกำหนดชำระ รวมถึงใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต
อันดับเครดิตของหุ้นกู้เท่ากับอันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิที่ระดับ ‘A(tha)’ ของ SCC
อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจต่างๆ ซึ่งได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจปิโตรเคมีมีความท้าทายในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์และ ธุรกิจกระดาษอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 2556
สถานะความเป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจปูนซีเมนต์ ธุรกิจกระดาษ และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เป็นปัจจัยหลักที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ น่าจะยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจ PVC ปูนซีเมนต์ กระดาษ รวมถึง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ในประเทศไทย ได้ในอีกห้าปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทฯ มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง รวมถึง อุปสรรคทางการตลาดที่สูงที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะต้องเผชิญในการเข้ามาแข่งขันในธุรกิจดังกล่าว
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC น่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของธุรกิจปิโตรเคมีในครึ่งหลังของปี 2556 รวมถึงกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ของ SCC จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงในปี 2556 จากแผนการลงทุนที่สูง ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวของ SCC น่าจะอยู่ในระดับ 3.25 เท่า ถึง 3.50 เท่าในปี 2556 ถึง 2557 เมื่อเทียบกับอัตราส่วนหนี้สินที่ฟิทช์ประมาณการไว้สำหรับ ณ สิ้นปี 2555 ที่ 3.4 เท่า
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมี ความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ รวมถึงการที่กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯอ่อนไหวต่อราคาพลังงานที่อาจสูงขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าบริษัทฯ น่าจะมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในระดับหนึ่ง รวมถึงทางเลือกในการขายเงินลงทุนที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้ในอีก 24 เดือนข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามฟิทช์คาดว่าการปรับเพิ่มของอันดับเครดิต ไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 18 เดือนข้างหน้า เนื่องจากแผนการลงทุนในระดับที่สูงของบริษัทฯ
ปัจจัยลบ
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขาย รวมถึงกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ที่ลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง
- สถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลงจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาด หรือ จากการเข้าซื้อกิจการด้วยเงินลงทุนที่สูง ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สูงกว่า 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง