กรุงเทพฯ--14 ก.พ.--IR PLUS
บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) (PPP) ผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับแนวหน้าของประเทศไทย ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ พร้อมซื้อขายใน SET 14 กุมภาพันธ์ 2556 หลังการเสนอขายหุ้ IPO 82.5 ล้านหุ้น ราคา 5 บาท/หุ้น ระดมทุนจำนวน 412.5 ล้านบาท ใช้เป็นเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าและเงินทุนหมุนเวียน ผู้บริหารมั่นใจการเติบโตในอนาคตดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนคึกคัก
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPP ผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับแนวหน้าของประเทศไทย ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ กล่าวว่า บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPP พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “PPP” ซึ่งหลังจากที่เปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 82.5 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ 2556ในราคาเสนอขายที่ 5 บาท/หุ้น ได้รับเม็ดเงินจากการระดมทุนจำนวน 412.50 ล้านบาท โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะนำมาลงทุนเพิ่มในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตในอนาคต ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ จึงมั่นใจว่าการซื้อขายในวันแรกของหุ้น PPP จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายกันอย่างคึกคัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนสนใจจองซื้อหุ้น PPP เกินกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขาย โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่จองซื้อล้นถึง 19 เท่า
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 217.50 ล้านหุ้น ซึ่งการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 82.5 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.50 ของทุนชำระแล้ว ทำให้ภายหลังการขายหุ้น IPO จะทำให้มีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท ซึ่งการเสนอขายหุ้นไอพีโอมี บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นายสุรเดช กล่าวต่อว่า รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ถือว่าเป็นช่องทางระดมทุนที่นอกจากจะได้รับเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อขยายกิจการแล้วยังแสดงถึงศักยภาพของบริษัทที่มีมาตรฐานมีบรรษัทภิบาลเป็นองค์กรในระดับมหาชน
สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 993.51 ล้านบาท เทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 ที่มีรายได้ 640.46 ล้านบาท และเทียบกับรายได้ 916.14 ล้านบาทในปี 2554ทำให้คาดว่า ในปี 2555 รายได้ของบริษัทฯ จะเติบโตได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเพียง 9 เดือนแรกของปีบริษัทฯ สามารถทำรายได้สูงกว่าปี 2554 ทั้งปีแล้ว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯมีผู้ถือหุ้นหลักได้แก่ บริษัท พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล จำกัด (“PFC”) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นร้อยละ 84.28 ของทุนชำระแล้วและกลุ่มสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนรวมร้อยละ 15.72 ของทุนชำระแล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนและจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่ม PFC และผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่มสถาบันการเงินจะมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 61.11 และร้อยละ 11.39 ตามลำดับ