กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัท (QH064A, QH074A, QH084A) ที่ระดับ “BBB” ในขณะเดียวกันได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB” ซึ่งสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชื่อเสียงในตลาดบ้านเดี่ยวระดับกลางถึงบน และรายได้ค่าเช่าที่สม่ำเสมอจากห้องชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงาน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนด้วยโครงสร้างทางการเงินของบริษัทที่มีการใช้เงินกู้ในระดับสูง ความ
ผันผวนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการดำรงสถานะทางการเงินตลอดจนความสามารถในการสร้างรายได้ค่าเช่าที่สม่ำเสมอจากห้องชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานได้อีก และคาดว่ารายได้จากการขายบ้านเดี่ยวของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2547
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายหนึ่งของประเทศซึ่งก่อตั้งในปี 2526 โดยกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2547 ได้แก่ กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 26% Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. 12% และกองทุนเปิดไทยทวีทุน 11% สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2547 ของบริษัทประกอบด้วยยอดขายจากธุรกิจบ้านจัดสรร 85% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้ค่าเช่าจากห้องชุดพักอาศัย 11% และอาคารสำนักงาน 4% แม้ว่าสภาพตลาดบ้านจัดสรรโดยรวมจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ยอดขายบ้านราคาแพงของบริษัทมีมูลค่าถึง 2,304 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย รายได้จากอาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มขึ้นถึง 44% เนื่องจากมีการเปิดอาคารชุดใหม่อีก 2 แห่งเมื่อต้นปี 2547 รายได้ค่าเช่าจากอาคารสูงดังกล่าวถือเป็นแหล่งรายได้ที่มีความแน่นอนซึ่งได้รับผลกระทบจากความผันผวนของวงจรอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่ารายได้จากธุรกิจบ้านจัดสรร
ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันในตลาดบ้านจัดสรรระหว่างปี 2547-2548 จะยังคงรุนแรงจากการที่มีปริมาณบ้านจัดสรรเสนอขายในตลาดมากขึ้นในขณะที่ความต้องการซื้อบ้านชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยน่าจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการลดลง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการวางเงินดาวน์สำหรับบ้านราคาแพงและความเข้มงวดในการกำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงานการปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์น่าจะช่วยลดภาวะการเก็งกำไรในตลาดที่อยู่อาศัย--จบ--