กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--กรมควบคุมโรค
สธ. ลุยย่าน RCA รณรงค์ให้ความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยหลังพบข้อมูล!!พฤติกรรมไม่ใช้ถุงยางอนามัยทำวัยรุ่นไทยเสี่ยงติดเอดส์มากกว่าปกติ 3-9 เท่า
วาเลนไทน์ปีนี้กรมควบคุมโรคนำทีมสาธารณสุขลุยย่าน RCA เดินหน้ารณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยแก่เยาวชน ภายใต้แนวคิด “รักจริงต้องใส่ใจ รักปลอดภัย ต้องป้องกัน หลังผลสำรวจชี้วัยรุ่นไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสูง ร้อยละ89 ไม่พกถุงยางอนามัยป้องกัน ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอดส์ได้มากกว่าคนปกติ 3-9 เท่า
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมการใช้และการเข้าถึงถุงยางอนามัยของวัยรุ่นไทยพบว่า ร้อยละ 89 มีพฤติกรรมไม่พกถุงยางอนามัยในการป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้มากกว่าคนปกติ 3-9 เท่า และมีเยาวชนเพียงร้อยละ 43 ที่เห็นว่าถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ได้ ส่วนอัตราการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์พบเพียงร้อยละ 47 เท่านั้นซึ่งยังต่ำอยู่และเป็นการสะท้อนว่าวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย นอกจากนี้สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทยปัจจุบันยังพบว่าจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว โดยในปี 2550 จาก 29 เปอร์เซ็นต์ มาในปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 44 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนี้ 42 เปอร์เซ็นต์เป็นวัยรุ่นที่อายุ 15 — 24 ปี และ 8 ใน 10 คนมีปัญหาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขมีความเป็นห่วงมากที่สุด และในโอกาสเข้าสู่เทศกาลวันวาเลนไทน์จึงอยากเตือนวัยรุ่นหรือผู้ที่คิดจะมีเพศสัมพันธ์ต้องไม่ลืมป้องกันตนเองและคู่ของตนเพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์รวมถึงการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
ด้านดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวระหว่างการนำทีม สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กรมควบคุมโรคลงพื้นที่ย่านรอยัล ซิตี้ อเวนิว (RCA) ถนนพระราม 9 ร่วมกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์เนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ว่าปัจจุบันวัยรุ่นไทยมีพฤติกรรมไม่ใช้ถุงยางอนามัยกันเป็นจำนวนมากนอกจากจะเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังจะทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับการระบาดของเอดส์ระลอกใหม่ได้ ในขณะที่ข้อมูลการติดเชื้อเอชไอวีในไทยปี 2555 ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยสะสมรวมประมาณ 1.1 ล้านคน ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้วประมาณ 7 แสนคน ที่ยังมีชีวิตอยู่มีประมาณ 4.6 แสนคน เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 1 หมื่นคน และกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
หากทำความเข้าใจร่วมกันจะพบว่าการขาดข้อมูลและความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมทั้งขาดที่ปรึกษาไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือโรงเรียน ล้วนเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เยาวชนมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยและนำมาซึ่งโรคร้ายต่างๆ จึงต้องขึ้นอยู่กับทัศนคติและความเอาใจใส่ของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ในการป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นและการยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นในสังคมโลกยุคปัจจุบัน
การรณรงค์ในวันวาเลนไทน์ปีนี้ ได้ดำเนินการตามแนวคิด “รักจริงต้องใส่ใจ รักปลอดภัย ต้องป้องกัน”ซึ่งกรมควบคุมโรคได้ทำแพคเก็จถุงยางอนามัยเป็นซองใส่โทรศัพท์มือถือที่พกพาได้สะดวก พร้อมทั้งจัดสื่อสนับสนุนแจกจ่ายให้กับวัยรุ่นที่มาเที่ยวในย่าน RCA ฟรี รวมทั้งแจกจ่ายไปยังหน่วยงานเครือข่ายระดับเขต และระดับจังหวัดทั่วประเทศด้วย นอกจากนี้ผู้ที่สนใจยังสามารถ download สื่อต้นแบบ ได้ที่ www.aidsstithai.org รวมถึงขอรับถุงยางอนามัยได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่ง และสามารถซื้อถุงยางอนามัยราคาถูกได้ที่เครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดหยอดเหรียญ ซึ่งติดตั้งตามที่ต่าง ๆ เช่น บริเวณห้องน้ำในห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ และได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรและเครือข่ายจัดบริการที่เป็นมิตรแก่เยาวชนที่มีปัญหาด้านสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ด้วย
อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวต่ออีกว่าในปี 2556 นี้ ประเทศไทยได้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ ที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย Getting to Zero หรือ “สู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์เรื่องการตายอันเนื่องมาจากเอดส์” ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าโดยจะเร่งรัดขยายการป้องกันให้ครอบคลุมประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มชายรักชาย ให้เข้ารับบริการตรวจเลือดฟรีปีละ 2 ครั้งทุกสิทธิหลักประกันสุขภาพ โดยใช้วิธีการตรวจเลือดแบบทราบผลในวันเดียว และถ้าหากตรวจเลือดแล้วพบว่ามี CD 4 ต่ำกว่า 350 เซล/ลบ.มม. ก็จะต้องให้กินยาต้านไวรัสทันที เพราะการรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัสทำได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งมีผลดีต่อผู้ป่วยมากเท่านั้น และสามารถลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นให้น้อยลงได้ เอดส์เป็นแล้วรักษาได้เพียงแต่ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการกินยาอย่างเคร่งครัด
“ถึงแม้ในวันนี้เราจะมียาต้านไวรัสเอดส์ที่ช่วยยืดอายุการรักษาและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาวมากขึ้น แต่จะให้ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นเอดส์ ด้วยการตระหนักในการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะค่านิยมการไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การเปลี่ยนคู่นอน เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์ได้ทั้งสิ้น และหากประชาชนมีข้อสงสัยหรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเอดส์” สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 “ดร.นพ.พรเทพ กล่าวทิ้งท้าย
กลุ่มเผยแพร่ สำนักงานเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
โทรศัพท์: 0-2590-3862 / โทรสาร: 0-2590-3386