กรุงเทพฯ--19 ก.พ.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
“LVT” ส่อแววอนาคตสดใสภายหลังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและเมื่อรวมกับขายหุ้นบางส่วนในบริษัทลูก ทำให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งสามารถรับงานได้หลายโครงการ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี 2556 เดินหน้าเร่งเครื่องลุยหางานใหม่ และคว้างานแล้ว 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท มั่นใจยอดขายใหม่ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายระดับ 3,000 ล้านบาท หลังตุนงานในมือ 2,000 ล้านบาท และอนาคตจะเลือกลงทุนถือหุ้นในโครงการที่มีศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างสินทรัพย์ถาวรและรายได้ที่มั่นคงระยะยาว
นายแฮนส์ จอร์แกน เนียลเซ่น ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ LVT ผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการวิศวกรรม ออกแบบ คิดค้น พัฒนา จัดหา และควบคุมการติดตั้งอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ในหลายประเทศทั่วโลก เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ขณะเดียวกัน ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ถือหุ้นเดิม เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นแสดงความจำนงจองซื้อมากกว่าสิทธิที่ตนเองได้รับมากกว่า 33% ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ก็ได้เร่งเดินหน้าสร้างยอดขายอย่างเต็มที่ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบริษัทฯได้งานใหม่จำนวน 4 งาน มูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.โครงการก่อสร้างโรงงาน Porcelain ประเทศบราซิล มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท โดย Porcelain เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่ใช้ในโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือห่างจากเมืองเซาท์เปาโล ประมาณ 500 กิโลเมตร
2.โครงการปรับปรุงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานปูนซีเมนต์ขาว ประเทศมาเลเซีย โดยเพิ่มจาก 500 ตันต่อวันเป็น 1,000 ตันต่อวัน มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท
3.โครงการก่อสร้างโรงงานบดซีเมนต์ ประเทศบาห์เรน กำลังการผลิต 500,000 ตันต่อปี มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท โดยโครงการนี้เป็นโครงการตามต้นแบบธุรกิจของ LVT ซึ่งมีทั้งงานออกแบบโรงงานและระบบวิศวกรรมตลอดจนการจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงาน 4. โครงการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตซีเมนต์จากแบบเปียก(Wet process) เป็นแบบแห้ง (Dry process) ซึ่งเป็นโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศพม่า มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท
“ภายหลังบริษัทฯได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ถือหุ้น ในการใช้สิทธิ์จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนอย่างล้นหลามมาแล้วในก่อนหน้านี้ รวมถึงบริษัทฯเองได้ขายหุ้นบางส่วนในบริษัทลูก LNVT ประเทศอินเดีย ทำให้บริษัทฯมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รับงานได้หลายโครงการมากขึ้น และตั้งแต่ต้นปี 2556 บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าลุยหางานใหม่ โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้งานใหม่เข้ามาแล้วมูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท ซึ่งในหลักการมีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าโครงการทั้งหมดจะมีการลงนามในสัญญาได้ภายในไตรมาส 1 ปีนี้” นายเนียลเซ่น กล่าว
นายเนียลเซ่น กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายใหม่ในแต่ละปีไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/2556 บริษัทฯ คาดว่าจะได้งานมูลค่ารวมมากกว่า 1,700 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวไม่นับรวมมูลค่างานที่อยู่ระหว่างการรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นปี 2555 ที่มีอยู่จำนวน 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทฯ จะเลือกแนวทางการลงทุนใหม่โดยเข้าไปถือหุ้นในโครงการที่มีศักยภาพสูง เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างสินทรัพย์ถาวรและรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว
ขณะที่ก่อนหน้าบริษัทฯ ประสบผลสำเร็จในการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม จำนวนไม่เกิน 172,846,175 หุ้น สัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาเสนอขายหุ้นละ1.25 บาท และแถมใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 3 (LVT-W3) โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งมีผู้ถือหุ้นแสดงความจำนงจองซื้อมากกว่าสิทธิที่ตนเองได้รับสูงกว่า 33% ของจำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทฯ กำหนดไว้ โดยบริษัทฯได้เงินจากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 215.39 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัดหรือ (PP) จำนวนไม่เกิน 51,000,000 หุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 1.25 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนพิจารณาและดำเนินการ โดยคาดว่าการเจรจาขายหุ้น PP จะประสบผลสำเร็จในระยะเวลาอันใกล้นี้ และหลังจากทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อย บริษัทฯ จะได้เงินจากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและกลุ่ม PP รวมทั้งสิ้นประมาณ 280 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจในอนาคต