กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--MMM Digital
เมื่ออินเดีย สโตคเกอร์ (มีอา วาสิคาวสกา) ต้องสูญเสียทั้งพ่อที่เธอรักและเพื่อนสนิทของเธออย่างริชาร์ด (เดอร์มองต์ มัลโรนีย์) จากอุบัติเหตุทางรถยนต์อันน่าสลดในวันเกิดของเธอตอนอายุ 18 ปี ชีวิตอันเงียบสงบของเธอบนคฤหาสน์ของครอบครัวลึกลับต้องพังทลายในพริบตา อินเดียแสดงออกถึงความรู้สึกที่ลึกลับอย่างไม่อาจเปิดเผยได้ ซึ่งมีเพียงพ่อของเธอเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ เรื่องราวเขย่าขวัญสั่นประสาทจากปาร์ค ชาน-วุค ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวเกาหลีที่มีชื่อเสียง (OLDBOY, LADY VENGEANCE, SYMPATHY FOR MR. VENGEANCE) เรื่อง STOKER จึงถูกปลุกชีพขึ้นมาเป็นภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเขา
อินเดียได้พบกับพี่ชายของพ่อที่ขาดการติดต่อกันไปนาน ชาร์ลี (แมทธิว กู้ด) ที่มาร่วมงานศพอย่างไม่คาดฝัน เขาตัดสินใจพักอยู่กับเธอและแม่ของเธอที่มีอารมณ์แปรปรวน อีวี่ (นิโคล คิดแมน) ในช่วงแรกอินเดียหวาดระแวงในตัวลุงผู้ลึกลับแต่ดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เขาเองก็หลงเสน่ห์เธอเข้าเช่นกัน เธอเริ่มรู้ตัวว่าต่างฝ่ายต่างมีใจให้กันอย่างไร
ชาร์ลีเผยตัวตนให้อินเดียเห็นทีละนิด จนเธอเริ่มหลงในตัวญาติของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มคิดว่าการมาถึงของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ จากคำโน้มน้าวของลุงเธอ ทำให้เธอหลงเชื่อในพรหมลิขิตที่ไม่ชอบมาพากลครั้งนี้
ภาพยนตร์เรื่อง STOKER นำแสดงโดย มีอา วาสิคาวสกา (ALICE IN WONDERLAND, JANE EYRE), แมทธิว กู้ด (WATCHMEN, A SINGLE MAN), เดอร์มองต์ มัลโรนีย์ (THE GREY, J. EDGAR), แจ็คกี้ วีเวอร์ (ANIMAL KINGDOM, SILVER LININGS PLAYBOOK), ฟิลลิส โซเมอร์วิล (THE CURIOUS CASE OF BENJAMIN BUTTON), อัลเดน เอเรนรีช (TETRO, BEAUTIFUL CREATURES), ลูคัส ทิล (X-MEN: FIRST CLASS), ราล์ฟ บราวน์ (PIRATE RADIO), จูดิธ กอดริช (THE MAN IN THE IRON MASK) และนิโคล คิดแมน (THE HOURS, MOULIN ROUGE!, THE OTHERS)
ปาร์ค ชาง-วุค กำกับภาพยนตร์จากบทของ เวนต์เวิร์ธ มิลเลอร์ (“Prison Break,” THE HUMAN STAIN) อำนวยการสร้างโดย ไมเคิล คอสติแกน (PROMETHEUS, BROKEBACK MOUNTAIN), ริดลีย์ สก็อตต์ (PROMETHEUS, AMERICAN GANGSTER) และโทนี่ สก็อตต์ (THE GREY, UNSTOPPABLE) อำนวยการสร้างบริหารโดย สตีเฟ่น เรลส์ (MOONRISE KINGDOM) และมาร์ค รอยบัล (DOUBT) ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ได้แก่ ผู้กำกับภาพ ชุง-ฮุน ชุง (OLDBOY, THIRST), ผู้ออกแบบฉาก เธอรีซ เดอเปร (BLACK SWAN, HIGH FIDELITY) ผู้ลำดับภาพ นิโคลาส เดอ ท็อธ (THE SUM OF ALL FEARS, X-MEN ORIGINS: WOLVERINE) ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง เวนต์เวิร์ธ มิลเลอร์, เบอร์เกน สแวนสัน (SHAME) และวองโจ จุง (NIGHT FISHING) ประพันธ์ดนตรีโดย คลินต์ แมนเซล (BLACK SWAN, THE TRUMAN SHOW) ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย เคิร์ต สแวนสัน และ บาร์ต มูเอลเลอร์ (DALLAS BUYERS CLUB, OUT OF THE FURNACE)
การสร้างภาพยนตร์
เส้นทางของ Stoker สู่จอภาพยนตร์
ผู้สร้างภาพยนตร์ ปาร์ค ชาน-วุค สร้างผลงานที่มีแบบฉบับเป็นของตัวเองมานานกว่า 20 ปีในฐานะของนักเขียน ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่มีความสร้างสรรค์และเป็นต้นฉบับของวงการภาพยนตร์ชาวเกาหลีมาแล้วบ้าง มีการเขียนบทได้อย่างน่าตื่นเต้น ซึ่งเป็นการผสมผสานท่วงทำนองแห่งความงดงามกับความรุนแรงอันน่าสะเทือนขวัญและอารมณ์ที่แสดงออก ภาพยนตร์เรื่อง STOKER เป็นผลงานแนวลึกลับระทึกขวัญชวนอึดอัด ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวชาวอเมริกาที่มีเงื่อนงำและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แม้ว่าชื่อของภาพยนตร์จะสื่อถึงภูติผีปีศาจ ซึ่งอิงจากผู้ประพันธ์ฯ เรื่อง Dracula บราม สโตคเกอร์ เจ้าของนิยายชื่อดังที่เป็นเรื่องราวของนักล่าเหยื่อบริสุทธิ์ในโลกเร้นลับเหนือธรรมชาติของแวมไพร์
ความเหมาะสมของเรื่อง STOKER สู่จอยักษ์เริ่มขึ้นจากความลึกลับของเรื่องราว สก็อตต์ ฟรี ผู้อำนวยการสร้างฯ ไมเคิล คอสติแกนได้รับโทรศัพท์จากเอเย่นระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดที่โทรมาเสนอบทเรื่องใหม่ให้เขา “แต่เธอไม่ได้เล่าเรื่องตัวผู้เขียนให้ผมฟังเลย” เขาจดจำได้ “และเธอไม่ได้อีเมล์บทมาให้ผมด้วย ผมต้องไปรับบทที่ออฟฟิศของเธอ ผมรู้สึกแปลกใจมาก คืนนั้นหลังดินเนอร์เสร็จผมเอาบทมาอ่านดู ผมถึงกับวางบทไม่ลงเลย”
ในบทเปิดตัวด้วยภาพของหญิงสาวที่กำลังเล่นเปียโนอยู่ขณะที่มีแมงมุมตัวหนึ่งไต่ขาเธอขึ้นมา คอสติแกนถึงกับช็อคและหลงใหลในเรื่องราวที่กำลังจะเผยบทสรุป ผู้อำนวยการสร้างพบว่าตัวเองหลงเข้าไปอยู่ในโลกแห่งความน่ากลัวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และเป็นโลกที่วนเวียนอยู่ภายในครอบครัวสโตคเกอร์ “พวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมามาก” เขาอธิบาย “หากพวกเขารู้สึกอะไรก็จะทำไปตามความรู้สึก แต่พวกเขาไม่เข้าใจถึงผลลัพธ์ในสิ่งที่ทำอย่างแท้จริง ดูโดยรวมแล้วพวกเขาฉลาดนะ พวกเขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้ง เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น พวกเขายึดติดกับการใช้ชีวิตในแบบของเขา หากมีใครเข้ามาวุ่นวายกับโลกของพวกเขา พวกเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเองและสิ่งที่พวกเขาต้องการ”
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ อินเดีย สโตคเกอร์ มีอายุครบ 18 ปี อินเดีย ผู้ชอบเก็บตัวเงียบอยู่กับตัวเองรับบทแสดงโดย มีอา วาสิคาวสกา “เธออยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ” คอสติแกนกล่าว “ดูภายนอกเธอไม่แสดงออกอะไรให้เห็น แต่เธอมีอารมณ์ที่รุนแรงและมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ภายในใจ เธอมองเห็นและได้ยินทุกรายละเอียดที่พวกเราส่วนใหญ่มากข้ามไป ซึ่งมันเป็นตัวบั่นทอนเธอ
ผู้อำนวยการสร้างต่างอยากรู้รายละเอียดของตัวผู้เขียนบทมากขึ้น แต่ตัวแทนที่ส่งบทมาให้ไม่ยอมเผยรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม “เธอไม่ยอมบอกอะไรเลย” คอสติแกนเล่าว่า “เธอบอกว่าเขาไม่อยู่ที่เมือง จนสุดท้ายผมได้รับโทรศัพท์จากเขา ผมคิดว่าน้ำเสียงในโทรศัพท์ฟังแล้วคุ้นหูมาก ผมถึงกับช็อคพอนึกถึงว่า ‘เท็ด’ คือเวนต์เวิร์ธ มิลเลอร์ และนี่คือบทภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาเขียน”
มิลเลอร์เป็นที่รู้จักอย่างดีในฐานะของนักแสดงซีรี่ส์ทางทีวีเรื่องดัง “Prison Break” เขาใช้เวลาเขียนบทประมาณ 8 ปี เพราะเขาคิดว่าไม่มีใครยอมรับบทภาพยนตร์เรื่องแรกของนักแสดงแน่ มิลเลอร์อ้อนวอนให้ตัวแทนเสนอผลงานของเขาภายใต้นามแฝง เขาเรียกตัวเองว่า เท็ด ฟลุค (ฟลุค เป็นชื่อสุนัขของมิลเลอร์) จนในที่สุดบทภาพยนตร์ขึ้นแท่น Black List ปี 2010 ซึ่งเป็นรายชื่ออย่างไม่เป็นทางการของสุดยอดภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่ไม่ได้รับการสร้าง
ขณะที่ชื่อเสียงของบทภาพยนตร์กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา มีผู้กำกับระดับแนวหน้าหลายคนรีบให้ความสนใจมาร่วมงาน ตัวเลือกแรกแม้จะเป็นคนนอกวงการฮอลลีวูดอย่างปาร์ค ชาง-วุค ผู้ชนะจากงาน Cannes Film Festival Grand Prix ปี 2003 จากเรื่อง OLDBOY และผู้ชนะรางวัล Jury Prize ปี 2009 จากเรื่อง THIRST “ผู้กำกับปาร์ค” คือสมญานามที่ทุกคนใน STOKER จะเรียกเขา เขาขึ้นชื่อไปทั่วโลกในเรื่องการบรรยายความทารุณ การทำลายและการล้างแค้นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการใช้ภาพที่แสดงออกถึงความสุขและชวนสะดุ้งตกใจได้ดี หนังสั้นเรื่องล่าสุดของเขา NIGHT FISHING ถ่ายทำทั้งเรื่องด้วยไอโฟนของ Apple และได้รับรางวัล Bear Award สาขาหนังสั้นยอดเยี่ยมแห่งปี 2011 ที่งาน Berlin Film Festival
บทภาพยนตร์ถูกส่งมาให้ปาร์ค แต่คอสติแกนสงสัยว่าผู้สร้างภาพยนตร์ที่โดดเด่นจากหนังโปรดของเขาจะอ่านบทภาพยนตร์ที่ไม่สะดุดตาหรือไม่ “ผมนึกว่าเขาเขียนเรื่องทั้งหมดเองกับเพื่อนร่วมงานที่เกาหลี ผมคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่หลังจากนั้นเราได้รับโทรศัพท์ว่า ผู้กำกับปาร์คอยากคุยกับพวกเรา”
ช่วงที่คุยโทรศัพท์กันเป็นครั้งแรก ปาร์คเสนอไอเดียประหลาดเกี่ยวกับตัวละครและสัญลักษณ์ทางภาษาภาพที่ลึกซึ้งบางอย่างที่จะเป็นตัวกำหนดนิยามให้ภาพยนตร์ขึ้นมา “เขาเริ่มพูดถึงรองเท้าสาน” คอสติแกนกล่าว “เขาคิดไอเดียให้ลุงชาร์ลีส่งของขวัญวันเกิดมาให้อินเดียทุกปี กล่องของขวัญอาจถูกทิ้งไว้มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน อาจเป็นในสนามหญ้าหรือต้นไม้ พอถึงวันเกิดปีที่ 18 ของเธอเขาก็มาปรากฏตัว คราวนี้ของขวัญเป็นรองเท้าส้นสูงหนังจระเข้ ซึ่งในความคิดของเขาคือ เธอพร้อมจะเป็นอย่างที่เขาคิดว่าใช่แล้ว”
“ในจุดนั้นเรารู้เลยว่าเราขาดเขาไม่ได้” ผู้อำนวยการสร้างเล่าว่า “เขาไม่ได้เข้าใจบทเพียงอย่างเดียวนะ แต่เขามีไอเดียเกี่ยวกับตัวละครที่น่าทึ่งด้วย มันเป็นหนังของเขาที่ส่งตรงผ่านการคุยโทรศัพท์กันครั้งแรกเลย”
ปาร์คเล่าว่าเขาเริ่มสนใจด้านการกำกับภาพยนตร์จากผลงานสะเทือนขวัญของอัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก เรื่อง VERTIGO เขาถูกดึงเข้าไปในเรื่องราวแห่งความลับที่ถูกถักทอไร้รูปแบบ รวมถึงโลกแห่งวัตถุที่มีข้อจำกัดอย่างรุนแรง “มีการจำกัดสถานที่” เขากล่าว “มีการใช้ตัวละครเพียงไม่กี่ตัวและเป็นเรื่องราวในช่วงเวลาสั้นๆ มีความเครียดเกิดขึ้นตลอดจนแทบหายใจไม่ออก บางอย่างก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เช่น กาน้ำที่มีฝาปิดแน่นเดือดขึ้นมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่จำกัดเหมือนเป็นโลกของมันเอง
“และผมชอบตรงที่มันไม่ใช่เรื่องราวที่ให้คิดอยู่กับบทสนทนา” ผู้กำกับเล่าต่อว่า “ถือเป็นข้อดีของหนังเรื่องแรกของผมที่เป็นภาษาอังกฤษ หนังเกาหลีของผมเองก็ไม่ได้ยึดตามเรื่องราวการสนทนาเหมือนกัน ผมเลยชอบการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาพมากกว่า”
บทภาพยนตร์สอดคล้องกับรสนิยมทางศิลปะของผู้กำกับ วองโจ จุง ผู้ร่วมอำนวยการสร้างเล่าว่า “ภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ ปาร์คสื่อออกมาอย่างชัดเจน” เขากล่าวว่า “ภาพยนตร์เกี่ยวกับความดีและความชั่ว และเส้นแบ่งระหว่างนั้น ตัวละครของเขาจะมีทางเลือกที่แตกต่างกันไป ซึ่งทุกทางเลือกจะมีผลลัพธ์ของมัน เขาเสริมว่าการบรรยายจะทำให้เราเกิดข้อสงสัยเรื่องชนชั้นทางสังคม ศีลธรรม จริยธรรม และความเชื่อในศาสนาขึ้นมา”
ปาร์คผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลอย่าง เดวิด ลินช์, เดวิด โครเนนเบิร์ก และโลกที่มีความเซ็กซี่ล้ำสมัยของไบรอัน เดอ พัลม่า รวมถึงผู้เขียนอย่างเอ็ดการ์ อัลเล็น โพ, เอ็ม.อาร์.เจมส์ และ วิลกี้ คอลลินส์ด้วย
“ในภาพยนตร์เรื่อง STOKER เหมือนการจับตาดูคนเหล่านี้ในโลกของเขา เขาถ่ายทอดเรื่องราวที่ใหญ่กว่าเกี่ยวกับโลกโดยรวม” จุงเล่าต่อว่า “ตัวละครล้วนมีข้อบกพร่อง การให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์กดดัน เขาสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ทุกคนเคยผ่านมา แต่อยู่ด้านมืดของเงากระจกที่เราอยากจับตาดูใกล้ชิดมากขึ้น”
ครอบครัววิปริต
คัดตัวนักแสดง Stoker
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ปาร์ค ชาง-วุคเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการสลับสับเปลี่ยนกลุ่มนักแสดงที่เขาร่วมงานด้วยในเกาหลีอย่างเป็นประจำ เขาพัฒนาหลักการทำงานร่วมกัน โดยใช้ความร่วมมือกับนักแสดงที่เขาชื่นชอบ เพื่อถ่ายทอดและตีความอย่างจริงจังถึงตัวละครประหลาดที่วนเวียนในภาพยนตร์ของเขา สำหรับภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของเขา เขาได้เลือกกลุ่มนักแสดงที่มีความสร้างสรรค์แนวใหม่ มีการแสดงอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว มีไหวพริบและมีความสามารถไม่แพ้กัน
“ผมตื่นเต้นกับผู้ชมที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้โดยฝีมือของนักแสดงทั้งหลายที่มากความสามารถ” ผู้กำกับกล่าว “พวกเขาอยู่ในช่วงชีวิตและบทบาทที่ต่างกัน อีกทั้งยังเป็นนักแสดงต่างสาขากันด้วย การได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันได้อย่างแนบเนียนจึงเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก”
สำหรับปาร์คแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง STOKER คือเรื่องราวที่เกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอินเดีย “เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบเก็บตัวอยู่ในบ้านที่มีความอึดอัด เธอเข้ากับคนอื่นนอกบ้านไม่ได้เลย” เขากล่าว “เธอเป็นคนหัวรั้นมากเนื่องจากเธอต้องติดอยู่กับความเจ็บปวดจากช่วงวัยรุ่นที่พ่อของเธอเสียชีวิต การมาเยือนของลุง รวมถึงการมีปากเสียงกับแม่และเพื่อนของเธอ จนทำให้เธอเริ่มรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”
การค้นหาตัวนักแสดงหญิงที่สามารถถ่ายทอดความขัดแย้งของตัวละคร และขณะเดียวกันสามารถแสดงความเปลี่ยนแปลงของอินเดียเป็นสาวผู้อ่อนโยน ดูปกติ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความสำคัญของภาพยนตร์มาก ปาร์คเลือกตัวนักแสดงหญิงชาวอเมริกา มีอา วาสิคาวสกา ผู้มีความบอบบาง งดงาม และเงียบขรึมที่เคยรับบทแสดงนำมาแล้วเมื่ออายุ 22 ปีจากภาพยนตร์เรื่อง ALICE IN WONDERLAND ของทิม เบอร์ตัน และ JANE EYRE ของแครี่ ฟูกานากะ “มีอามีความสดใสของหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ” เขากล่าว “แต่เธอก็มีความสงบและมีความคิดแบบผู้ใหญ่ การแสดงบทเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอและไม่ใช่เด็กจนเกินไป แต่อยู่ในช่วงวัยกลางคนเหมาะสมกับมีอามากที่สุดแล้ว เธอมีความอดกลั้นในระดับที่น่าทึ่งสำหรับเด็กวัยอย่างเธอ เธอมีความนิ่งมากเวลาที่เธอแสดง แต่พอเราดูเธอในภาพยนตร์ เราจะรู้เลยว่าอารมณ์ที่สำคัญปรากฏอยู่บนนั้น เธอเป็นคนอ่อนโยนมากและมีความสามารถในระดับที่ผมคาดหวังจากนักแสดงที่มีอายุมากกว่าเธอ”
สำหรับบทของเธอ นักแสดงหญิงเล่าว่าเธอพบหลายอย่างที่ทำให้ชอบโปรเจ็กต์นี้ “นี่เป็นบทประพันธ์ที่มีความเข้มข้น ผู้กำกับปาร์คและทีมงานผู้สร้างสรรค์ของเขามีฝีมือมาก เนื้อเรื่องต่างจากที่ฉันเคยพบเจอมา ปฏิกิริยาระหว่างตัวละครดูค่อนข้างลึกลับ อินเดียเป็นหญิงสาวที่มีความซับซ้อนมาก เธอไม่มีพ่อ เธอตัดขาดจากทางโลกอย่างสิ้นเชิง เธอเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงโดยธรรมชาติ ไม่เป็นที่สนใจของใคร เธออายุยังน้อยแต่กลายเป็นหญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันและช่างจินตนาการ แม้ว่าจะมีความใฝ่ฝันที่ต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ ก็ตาม”
เมื่อลุงชาร์ลีของอินเดีย ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อเธอมาถึง นั่นคือครั้งแรกที่เธอรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ “ดูน่าสับสนและน่าสนใจอยู่ไม่เบา” วาสิคาวสกากล่าว “เธอพยายามหาคำตอบว่าเขามีบทบาทกับชีวิตเธออย่างไร ซึ่งมันยิ่งใหญ่กว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก ตอนแรกเธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรจากเธอ จากนั้นเธอค่อยๆ พบว่าพวกเขามีคล้ายกันหลายอย่าง มันทั้งน่ากลัวและน่าสนใจ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องความพิศวาสเกิดขึ้นระหว่างชาร์ลีกับอีวี่ เช่นเดียวกับระหว่างชาร์ลีและอินเดีย ที่ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงมาที่นั่น เราไม่มีทางมั่นใจได้เลยจนกว่าจะเห็นกับตา”
การทำงานร่วมกับปาร์คจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ และเป็นการปลุกประสบการณ์ให้กับนักแสดงหญิงได้ตลอด “แม้แต่ช่วงสุดสัปดาห์ เราก็จะไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน คุยกันถึงเรื่องตัวละครและเรื่องราว” วาสิคาวสกากล่าว “ความคิดจะโลดแล่นไปกับความซับซ้อนและน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างช่วงถ่ายทำเขาจะปล่อยให้เรานั่งนิ่งอยู่ในความเงียบนานๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีความเครียดขั้นรุนแรงซ่อนอยู่เสมอ ยิ่งเราอยู่ตรงนั้นนานก็ยิ่งเครียดมากขึ้น เขานำหน้าผู้ชมตลอดเวลาด้วยวิธีการนำเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อเปลี่ยนมุมมองของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้เรา วิธีการนี้เหมาะกับหนังแนวนี้มาก”
ชายปริศนาผู้เป็นต้นเหตุสำคัญของความขัดแย้งในครอบครัว รับบทแสดงโดย แมทธิว กู้ด นักแสดงชาวอังกฤษผู้เคยรับบทแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมของทอม ฟอร์ด เรื่อง A SINGLE MAN คู่กับโคลิน เฟิร์ธ นักแสดงเจ้าของรางวัล Oscar? และรับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้เปรียบเสมือนเทพเจ้ากรีก โอซีแมนเดียส ในภาพยนตร์เรื่อง WATCHMEN “แมทธิวเป็นคนตลกมาก” วิคาวสกี้กล่าว “ความสัมพันธ์นอกจอของเราตรงกันข้ามกับที่เห็นบนจอเลย เขาทำตัวตลกมาก มันเลยเป็นความท้าทายที่ต้องคอยทำหน้านิ่งเวลาแสดงร่วมกับเขา”
ลุงชาร์ลีปิดบังความลับเอาไว้ตลอดทั้งเรื่อง เขาซ่อนจุดประสงค์เอาไว้จนกระทั่งเกือบจนเรื่อง “ผู้ชมไม่มีทางรู้ได้แน่ชัดเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่” ปาร์คกล่าว “เขารักน้องชายมาก ความรักในตัวน้องชายของเขาถูกส่งผ่านมาถึงอินเดีย เทียบดูแล้วผมมองว่าลุงชาร์ลีเป็น John the Baptist เขาเปรียบเสมือนครูผู้มาเติมเต็มให้กับอินเดีย แมทธิวตรงกับภาพที่ผมคิดเอาไว้ว่าดูซื่อ มีอารมณ์ขัน มีความเห็นแก่ตัว เขามีแววแห่งความซุกซนและละเอียดอ่อนอย่างเห็นได้ชัดที่แม้แต่แมลงวันก็ไม่กล้าทำลาย คุณสมบัติทั้งหมดนี้จะทำให้ลุงชาร์ลีมีความสมบูรณ์แบบ”
กู้ดเองก็อยากมีส่วนร่วมในภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของปาร์คเองเช่นกัน “นี่ถือเป็นตัวอย่างของการรวมสุดยอดผู้มีความสามารถแห่งฮอลลีวูดจากทั่วโลก ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งที่วิเศษมาก” กู้ดกล่าว “ผู้กำกับปาร์คเป็นผู้ชำนาญด้านจิตวิทยา นั่นเป็นเหตุผลที่ภาพยนตร์ของเขาดูมีแนวคิดและมีความสมจริง”
“นี่เป็นบทภาพยนตร์ที่ไม่ได้พบเห็นในทุกวัน” กู้ดกล่าวต่อว่า “ทั้งหมดมีส่วนผสมอย่างลงตัวต่อการกระตุ้นผู้ชม สร้างความกลัวและปลุกอารมณ์ผู้ชมได้ มีทั้งเรื่องราวความรักที่สวยสดงดงามอย่างไม่ถูกไม่ควร ชาร์ลีเฝ้ารอมาหลายปีเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับแม่บ้านแม็คการ์ริค เพื่อสืบเรื่องราวทั้งหมดของอินเดีย ตอนแรกคุณจะคิดว่ารู้จักชาร์ลีดีแล้ว แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป คุณจะรู้เลยว่าเขาเป็นคนลึกลับและอันตรายมาก” เขากล่าว “สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น เขาอยากอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวของเขาจึงหลอกใช้อีวี่ เขาไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้จนกว่าเธอจะหลงเขา แต่ชาร์ลีสติไม่ปกติ เขามีความรู้สึกกับอินเดียไม่เหมือนลุงกับหลาน ความท้าทายของผมคือแทนที่จะแสดงความชั่วร้ายให้เห็น เขาต้องมีจุดยืนที่เราชื่นชอบ ทำให้เกิดความสับสนและค่อนข้างน่ากลัว”
นิโคล คิดแมน เจ้าของรางวัล Academy Award? รับบทแสดงเป็น อีวี่ แม่ของอินเดียผู้อ่อนแอและโหยหาความรัก “ผมไม่เคยหวังว่าจะโชคดีได้ร่วมงานกับนักแสดงผู้มีความสามารถอย่างนิโคล ในภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผมเลย” ปาร์คกล่าว “เหมือนกับฝันที่กลายเป็นจริง บารมีของเธอมีจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ และผมสามารถขยายบทบาทของอีวี่ และลักษณะตัวละครที่สะท้อนออกมาคล้ายกับแม่เลี้ยงในนิยายได้ แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นตัวละครในภาพยนตร์ที่มีความเป็นคนมากที่สุด”
เพียงแค่มองผิวเผินจากประวัติการทำงานอย่างยาวเหยียดของคิดแมนจะเห็นว่า เธอมีประสบการณ์ในโปรเจ็กต์ที่ต้องใช้ความพยายามสูง ซึ่งควบคุมโดยผู้กำกับที่โดดเด่นตั้งแต่บาซ เลอร์แมนน์ (MOULIN ROUGE!) และ กัส แวน แซงต์ (TO DIE FOR) มาจนถึงจอห์น คาเมรอน มิตเชล (RABBIT HOLE) “ฉันคิดว่าการร่วมงานกับผู้กำกับปาร์คกับเนื้อเรื่องแนวนี้น่าตื่นเต้นมาก” เธอกล่าว “เขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่น่าเคารพเป็นพิเศษในบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์คนอื่น ฉันชอบการช่วยเหลือนักแสดงให้มีการแสดงอารมณ์ในแบบเฉพาะของตัวเอง และเต็มใจพร้อมรับโอกาส ฉันเคยผ่านหนังเรื่องสำคัญมาหลายเรื่องก็จริง แต่การได้สนับสนุนผู้สร้างภาพยนตร์ที่มองโลกที่ต่างจากเราได้ คือความสุขที่สุดในฐานะนักแสดงเลยล่ะ”
แม้ว่าปาร์คต้องใช้ล่ามในการสื่อสารกับนักแสดงในฉาก เขารู้สึกได้ว่าคิดแมนเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรจากเธอ “นิโคลสามารถปรับโทนและระดับการแสดงของเธอได้ตามต้องการ” ผู้กำกับกล่าว “ผมบอกแค่ไม่กี่คำ เธอก็ปรับการแสดงด้วยความเต็มใจ เธอคือนักแสดงที่ทำให้เห็นว่าการเป็นมืออาชีพคืออย่างไร”
ความน่ากลัวอันงดงามและความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนงำซับซ้อนของ STOKER ทำให้ภาพยนตร์มีภาพที่นักแสดงต้านทานไว้ไม่อยู่ “ในเรื่องไม่มีอะไรที่พื้นๆ เลย” คิดแมนเล่าว่า “บทภาพยนตร์มีช่วงจังหวะที่ไม่เหมือนทั่วไป ท่วงทำนองไม่เหมือนแบบฉบับ ตอนที่ฉันอ่านบทฉันไม่แน่ใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นั่นล่ะที่ฉันชอบเลย”
เอวี่ผู้มีความขัดสนและผิดหวังคือตัวละครของคิดแมนที่เธอรู้สึกว่าไม่เคยแสดงมาก่อน “เราเปิดตัวภาพยนตร์ด้วยงานศพของสามีเธอ” เธอกล่าว “เห็นได้ชัดเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกเต็มไปด้วยความขัดแย้งโกรธเคือง เธออยู่ในจุดที่ย่ำแย่มากตอนเราพบกับเธอ จนชาร์ลีเข้ามาเติมเต็ม
“แมทธิวมีเสน่ห์อย่างน่าสนใจในบทชาร์ลี” เธอเล่าต่อว่า “นั่นเป็นคุณสมบัติที่ดีของลุงชาร์ลี คุณจะสัมผัสได้ว่าเอวี่ต้องการเขาและอยากเป็นที่สนใจ เขาเป็นคนแรกที่เอาใจใส่เธอ แล้วแมทธิวก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ ฉันหวังว่าจะได้เห็นเขาเป็นนักแสดงชื่อดัง”
แจ็คกี้ วีเวอร์ เป็นนักแสดงชาวออสเตรเลียอีกคนหนึ่งที่มาร่วมงาน เธอรับบท ป้าจิน น้าของพ่ออินเดียและต้องเรียนรู้ว่าชาร์ลีอยู่ในคฤหาสน์ของครอบครัวกับอินเดียและเอวี่ เธอมาเพื่อประเมิณเรื่องราวด้วยตัวเอง และต้องตกใจกับสิ่งที่เธอพบ
“มีเพียงชาร์ลีที่รู้ชัดว่าเขาต้องการอะไรจากอินเดีย” วีเวอร์กล่าว “แต่ป้าจินอาบน้ำร้อนมาก่อน เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความน่ากลัวที่เกิดขึ้น”
วีเวอร์ได้ก้าวสู่การมีชื่อเสียงระดับโลกด้วยการแสดงของเธอในบทของเสมิร์ฟ จอมโจรผู้บงการที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar ปี 2010 ในภาพยนตร์อินดี้แนวดราม่า เรื่อง ANIMAL KINGDOM “เรารู้ว่าแจ็คกี้กำลังทำงานที่ลอสแองเจลิสอยู่ขณะที่เราคัดตัวนักแสดงกัน” คอสติแกนเล่าว่า “พวกเราทุกคนเคยดูและชอบเรื่อง ANIMAL KINGDOM เราได้พบกับเธอและรู้ทันทีว่าเธอเหมาะกับบทนี้ขนาดไหน”
นักแสดงหญิงยังเทียบว่าบทภาพยนตร์มีจุดหักมุมเหมือนหนังคลาสสิค Alfred Hitchcock ด้วย “เป็นหนังที่มีความระทึกขวัญ ได้ศึกษาด้านจิตวิทยาในคนที่มีความผิดปกติทางจิตมากๆ” วีเวอร์กล่าว “นั่นทำให้เรื่องราวมีความน่าสนใจ มีหลายล้านเรื่องราวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ตัวละครก็มีเสน่ห์และแสดงออกอย่างชัดเจน เช่น เอวี่ผู้เครียดง่าย อินเดียผู้คอยระวังตัวอย่างเงียบๆ คุณป้าจอมวิตกที่รู้ว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้น และรวมถึงลุงชาร์ลีตัวการร้าย”
ฉากหนึ่งที่ต้องทุ่มเทการแสดงอย่างหนักในหนัง เป็นฉากที่นักแสดงผู้มากด้วยพลังทั้ง 4 คนมาอยู่ร่วมกันในการพบปะกันอย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นฉากไฮไลท์ของภาพยนตร์สำหรับคอสติแกน “เป็นฉากที่ถ่ายทำแล้วสนุกที่สุด” ผู้อำนวยการเล่าว่า “เรามีการรวมตัวกันของนักแสดงผู้ชำนาญ และมีความสุขเวลาเห็นพวกเขาแสดงร่วมกัน โดยเฉพาะฉากดินเนอร์ของครอบครัว การเคลื่อนไวหเพียงเล็กน้อยหรือการชำเลืองตาของเอวี่ก็ไม่อาจละสายตาจากป้าจินในภาพยนตร์ได้ การเฝ้าดูลุงชาร์ลีอยู่ลับๆ คุณจะเริ่มรู้ว่าเขามีกลอุบายสำคัญต่อครอบครัว อินเดียจับตาดูคนอื่นๆ และแค่มองครั้งเดียวก็จะรู้ทุกสิ่ง การเฝ้าดูนักแสดงเก่งๆ เหล่านี้ทำงานร่วมกันถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น”
โลกที่ไม่ต้องการเวลาหรือสถานที่
งานออกแบบและงานประดิษฐ์
ภาพอันมีประกาย กล้องถ่ายทำและภาษาภาพที่เป็นตัวแทนอย่างละเอียดอ่อนเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงมาตรฐานภาพยนตร์ของปาร์ค ชาน-วุค ผู้กำกับภาพชุง-ฮุน ชุงที่ตอนนี้ร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ 5 แล้ว รวมถึงเรื่อง OLDBOY, LADY VENGEANCE, I’M A CYBORG, BUT THAT’S OK และ THIRST พวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง STOKER ให้เหมือนฝัน มีกลิ่นอายของความอีโรติค ตัวละครที่เคลื่อนไหวเข้าออกผ่านเฟรมภาพในเกมซ่อนหากับผู้ชม โดยใช้กล้องที่มีการเตรียมมาอย่างยาวนานซึ่งเป็นกล้องที่ทำมุมพิเศษ และออกแบบดนตรีที่มีความซับซ้อนเพื่อบรรยายถึงนักล่าจากผู้ถูกล่าในหมู่ตัวละคร
ทั้งคู่ทดสอบการทำงานในเรื่อง STOKER พร้อมกันเหมือนกับตอนที่เคยร่วมงานกันก่อนหน้านี้ “เราเริ่มช่วงพรีโพรดักชั่นพร้อมกันเสมอ เราจึงได้แชร์จินตนาการเดียวกัน” ชุงเล่าว่า “พอเราปรับบท เราคุยกันถึงรูปภาพ ภาพถ่าย หรือสิ่งที่ภาพยนตร์อิงภาพมาจากหนังเรื่องอื่น แต่การเลือกวิธีการถ่ายทำแต่ละฉากเป็นการเทียบรองลงมาถึงความเข้าใจอารมณ์ของตัวละครจากบทภาพยนตร์ ตั้งแต่เริ่มเราพิจารณาบทภาพยนตร์อย่างละเอียดแบบเดียวกับที่นักแสดงทำ”
ชุงได้รับการนับถือว่าเป็นตากล้องผู้ชำนาญด้านภาพยนตร์เกาหลีร่วมสมัย เขามาร่วมงานกับผู้กำกับฯ ปาร์คเพื่อสร้างรายละเอียดในสตอรี่บอร์ดที่มีความพิถีพิถันให้ภาพยนตร์ “การสร้างภาพลักษณ์ของภาพยนตร์แนวนี้คล้ายกับการสร้างบ้าน” เขากล่าว “จะไม่เห็นรูปร่างของภาพยนตร์จนกว่าเวลาจะผ่านไปสักพัก รายละเอียดบนสตอรี่บอร์ดจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเดาง่ายขึ้นว่าภาพยนตร์จะออกมาแนวไหน”
“ภาพยนตร์เรื่อง STOKER ให้ความรู้สึกต่างจากโปรเจ็กต์เรื่องอื่นที่เราเคยร่วมงานกันมาก” ชุงเล่าต่อว่า “ไม่ได้มีแค่เรื่องราวปัญหา แต่ยังมีการพัฒนาเรื่องราวที่สะท้อนจากการถ่ายภาพด้วย ภาพเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ตัวละครต่างเผยธาตุแท้ออกมา ความสัมพันธ์ก็ดูซับซ้อน ความตื่นเต้นและท้าทายที่สุดในส่วนของผมคือการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนา ไม่ว่าเอวี่หรือชาร์ลีจะรู้สึกอย่างไร กล้องต้องคอยจับภาพไว้ ทำให้ผมตัดสินใจได้ว่าจะถ่ายใกล้แค่ไหน หรือแสงควรแรงขึ้นหรือนุ่มลง”
สถานที่ในเรื่องราวที่กำหนดผิดจากที่ทั้งคู่คาดไว้ แต่ชุงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากซอกมุมของบ้านได้ดี “เรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สโตคเกอร์” เขากล่าว “โดยปกติเราจะสร้างฉากขึ้นเป็นบ้านเพื่อจัดวางตำแหน่งกล้องและไฟ เพราะบ้านสโตคเกอร์คือสถานที่จริง ผมกังวลว่ามุมต่างๆ และแสงไฟอาจดูซ้ำซาก แต่ผมพบว่านั่นเป็นเพราะพื้นที่ที่ถูกจำกัด ทำให้ผมเข้าถึงนิสัยตัวละครได้มากขึ้น เหมือนนักแสดงบางคนที่กล้องจับภาพได้ต่างไปจากบางมุม ผมเรียนรู้ว่าบ้านจะดูหม่นหมองหรือเปี่ยมไปด้วยความหวังได้ ขึ้นอยู่กับมุมที่จะมอง”
การสร้างฉากเต้นรำโดยละเอียดระหว่างกล้อง นักแสดง และบรรยากาศที่เป็นไปได้ เพราะความคิดของปาร์ค ชาน-วุคด้านการผลิตที่อลังการก่อนผู้กำกับจะกำหนดฟุตในฉาก คอสติแกนเล่าว่า “เขาเน้นเรื่องรายละเอียดมาก และชุงมีส่วนสำคัญในเรื่องนั้น พวกเขาสามารถสร้างตัวละครและเนื้อเรื่องผ่านด้านวิชวลและผลงานภาพได้ ผู้กำกับปาร์คเตรียมตัวเยอะมาก เขาเตรียมสตอรี่บอร์ดด้วยความพิถีพิถันสุดๆ”
การเตรียมงานอย่างครอบคลุมของปาร์คทำให้ถ่ายทำได้ง่ายขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความละเอียด “สไตล์การถ่ายทำภาพยนตร์ของผมเน้นที่การเคลื่อนไหวของกล้องเป็นพิเศษ” เขาอธิบาย “ผมตัดต่อภาพยนตร์ในความคิดได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการทำงานแบบตามธรรมเนียมด้วยการเก็บรายละเอียดมากที่สุดไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่”
ตารางเวลาการถ่ายทำภาพยนตร์ถือว่าไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาตามธรรมเนียมที่เกาหลี ซึ่งมันส่งผลถึงวิธีการถ่ายทำแบบที่ใช้ “การถ่ายทำฉากต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว ทำให้การเคลื่อนไหวกล้องที่มีความซับซ้อนแบบที่ผมเคยชินได้ยาก” ปาร์คเล่า “แต่อาจมีเอ็ฟเฟ็กต์ที่ดีกว่าในหนัง เวลาที่ใช้การถ่ายทำแบบนั้นเฉพาะช่วงเวลาสำคัญ มันช่วยเพิ่มความเครียดให้ภาพยนตร์ได้”
ผู้ออกแบบฉากฯ เธอรีซ เดอเปร ผู้รับหน้าที่ด้านสไตล์ภาพที่ดูเหมือนฝันให้ภาพยนตร์ระทึกขวัญสั่นประสาทที่เข้าชิงรางวัล Oscar? เรื่อง BLACK SWAN เล่าว่า “มีความขัดแย้งดำเนินไปในเรื่องที่หาข้อสรุปไม่ได้และความงามในเรื่อง ไม่มีสิ่งไหนที่ออกแบบมาอย่างไร้เหตุผล มันออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของผู้กำกับฯ ปาร์คล้วนมีองค์ประกอบในหนังที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและยังคงอยู่กับตัวเรา คำถามข้อหนึ่งที่ถามเขาตอนแรกคือ ‘เราจะทำให้ดูทันสมัยแบบไหนดี?’ และเขาอยากให้ผมผลักดัน มันให้ความรู้สึกว่าเป็นหนังของปาร์ค ชาน-วุคจริงๆ”
รู้กันดีว่าต้องเกิดอุปสรรคขึ้นระหว่างภาษาของผู้ออกแบบและผู้กำกับ เดอเปรเตรียมหนังสือเกี่ยวกับด้านวิชวลที่ครอบคลุมเพื่อเป็นตัวแทนไอเดียของเธอสำหรับโทนและอารมณ์ของภาพยนตร์ “เขาหลงใหลมันและรูปภาพเหล่านั้นในช่วงแรกกลายเป็นส่วนสำคัญของลุคภาพยนตร์” เธอกล่าว “เราคุยกันว่ามันเป็นเรื่องราวที่มีความละเอียดอ่อน เราคุยกันถึงไอเดียเรื่องนักล่ากับผู้ถูกล่า ตัวละครเหล่านี้เป็นวัฏจักรของกันและกัน ความสำคัญของการไล่ล่ากลายเป็นประเด็นสำคัญของภาพยนตร์”
ปาร์คยังเน้นย้ำอีกด้วยว่าเขาอยากให้มีความรู้สึกว่า อินเดียกับแม่ของเธอมีตัวตนอย่างไร้สถานที่และกาลเวลา แม้ว่าภาพยนตร์จะเป็นฉากของอเมริกาทุกวันนี้ก็ตาม มันต้องมีความลึกลับอยู่ใกล้ชิดกับบริเวณบ้านพวกเขา ให้มีความรู้สึกแห่งความเป็นนิรันดร์อยู่ภายในบ้าน และ “ครอบครัว” คล้ายกับเป็นอีกโลกหนึ่ง “เราสร้างแบบนั้นได้เพราะมีตัวละครไม่เยอะ” เดอเปรกล่าว “มีนักแสดงเพียงไม่กี่คน และเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในบ้าน ฉันมองว่ามีบรรยากาศแห่งความเป็นอมตะ ดูเรียบง่ายและมีความทันสมัยมาก โดยมีการโฟกัสที่ตัวละครตลอดเวลา มีการสื่อถึงยุคที่เราอยู่ทุกวันนี้เพียงน้อยนิด”
อุปสรรคแรกที่ยิ่งใหญ่สุดคือการหาบ้านให้ครอบครัวสโตคเกอร์ ที่มีความอ้างว้าง เหินห่างและมีสังคมทีแปลกแยก “บ้านเหมือนกับตัวละครหนึ่ง” เดอเปรเล่าว่า “เหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ไอเดียต้นฉบับคือคฤหาสน์หินขนาดใหญ่สไตล์โกธิค เราดูบ้านที่แตกต่างกันด้านสไตล์และขนาดราว 80 หลัง แต่แบบที่เราคิดไว้ไม่มีอยู่ที่แนชวิลล์”
พวกเขาเลือกบริเวณทำเลทองยุค 1920 เป็นคฤหาสน์สโตคเกอร์ ฉากเปิดตัวบนเนินที่ไหลลงมาสู่แอ่งน้ำ และสนามหญ้าขนาดใหญ่สำหรับให้อินเดียผ่อนคลาย แต่อย่างไรบ้านก็ยังเล็กกว่าที่ปาร์คคิดเอาไว้ในตอนแรก เขามองเอวี่และอินเดียเป็นราชินีและเจ้าหญิงในนิทานที่ติดอยู่ในคฤหาสน์อันวุ่นวาย “แต่บ้านหลังนี้ถูกต้องในเรื่องความเก่าแก่และความงาม ยิ่งมองดูก็ยิ่งน่าสนใจ” ผู้กำกับกล่าว “มีองค์ประกอบทุกอย่างที่เราต้องการ รวมถึงห้องใต้ดินและสนามหญ้าที่อยู่ในสถานที่เดียวกัน เราสามารถถ่ายทำทุกอย่างได้ที่นี่เมื่อเรากำหนดรูปแบบที่เราต้องการเรียบร้อยแล้ว”
ที่สำคัญคือมีบันไดสวย เหมาะกับฉากที่ปาร์คมองว่าสำคัญต่อการสร้างอำนาจที่แตกต่างกันระหว่างชาร์ลีและอินเดีย “ในความคิดของเขา หนังทั้งเรื่องโคจรรอบการเต้นรำที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาตรงบันไดนั้น” คอสติแกนกล่าว “ทั้งหมดเป็นเรื่องของคนที่คุมเกมและฉากนั้นคือจุดเริ่มต้น”
ในช่วงเวลา 6 สัปดาห์ ผู้ออกแบบฉากและทีมงานของเธอช่วยกันแปลงสภาพบ้านที่ดูโบราณเป็นคฤหาสน์สโตคเกอร์ใหม่ทั้งหลัง ไม่มีการมองข้ามรายละเอียดใดเลยแม้แต่เรื่องสีและสไตล์ รายละเอียดวอลเปเปอร์ ข้าวของบนโต๊ะของริชาร์ด และแม้แต่ชุดอาบน้ำในห้องน้ำ
“ริชาร์ด สโตคเกอร์พาครอบครัวมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เพื่อกั้นพวกเขาออกจากโลกภายนอก” คอสติแกนเล่าว่า “การหาบ้านที่สวยงามเหมาะสมสำหรับนักออกแบบ และสมาชิกในตระกูลเศรษฐีเก่าชาวอเมริกันคือเรื่องที่ท้าทายเป็นพิเศษ มีการตกแต่งด้วยข้าวของน้อยชิ้นที่สื่อถึงความร่ำรวยของครอบครัว องค์ประกอบแต่ละส่วนคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพราะผู้กำกับฯ ปาร์คให้ความสนใจเรื่องรายละเอียดมาก มีข้อคิดแฝงอยู่ในทุกรายละเอียด”
ถ้วยรางวัลแห่งการล่าที่อินเดียและพ่อของเธอได้รับร่วมกันส่วนใหญ่คือการล่านกที่ถูกแขวนอยู่ในบ้าน และช่วยเสริมคอนเซ็ปต์ของบ้านให้เดอเปรได้ในภาพ 3 มิติ “เราคุยกันถึงเรื่องบ้านบ่อยๆ ว่าเหมือนรังนกที่เปิดกว้าง ส่วนตัวละครเปรียบเหมือนนก” เธอกล่าว “เอวี่เหมือนนกยูง ลุงชาร์ลีกลายเป็นแม่ไก่และอินเดียคือลูกไก่ พวกเขาไล่จับกันอยู่ในบ้านหลังนี้ เป็นการย้อนกลับไปหาไอเดียของการไล่ล่าสำคัญ และจินตนาการของผู้กำกับฯ ปาร์คเรื่องอินเดียที่เหมือนกับลูกนกบินออกจากรัง”
กำแพงด้านในของชั้นหลักทาสีหลากหลายเฉดของโทนสีเขียวเย็น ทำให้ผู้ชมรู้สึกค่อนข้างอึดอัด “เรายังเลือกที่จะไม่แขวนรูปภาพหรือภาพวาดบนกำแพงด้วย” ปาร์คกล่าว “กำแพงโล่งๆ ขนาดใหญ่ทำให้บ้านดูกว้างกว่า สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างของตัวละคร”
“ผู้กำกับฯ ปาร์คอยากให้ผู้ชมเกิดความลังเลนิดหน่อย” เดอเปรเล่าว่า “มันค่อนข้างสวยงาม แต่ให้ความรู้สึกเหมือนคุกเหมือนกัน ห้องบริเวณชั้นล่างจะเป็นสีโทนเย็น เพื่อเพิ่มความรู้สึกของการถูกคุมขัง มันมีองค์ประกอบที่เรียบง่ายบนวอลเปเปอร์และผนังที่หล่อขึ้นมา”
ห้องนอนชั้นบนของบ้านสะท้อนถึงสมาชิกแต่ละคนของสโตคเกอร์ “อินเดียเป็นตัวละครที่มีความสมดุล เป็นระเบียบและมีลวดลาย” ผู้ออกแบบอธิบายว่า “ตรงกันข้ามกับเอวี่ เธอไร้ความสมดุลและการเปิดตัวที่สร้างความวุ่นวาย ไม่ต่างจากลักษณะของห้องเท่าไหร่ ห้องของอินเดียมีวอลเปเปอร์ลายสีเหลืองที่เป็นแถวเรียบร้อย ขณะที่ห้องของเอวี่ดูเหมือนเรือนกระจกที่ดูยุ่งเหยิง”
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคิร์ต สวอนสัน และ บาร์ต มุลเลอร์ ดึงโทนสีแปลกๆ ของเดอเปรมาใช้กับเครื่องแต่งกายด้วย ในช่วงเริ่มต้นภาพยนตร์อินเดียอยู่ในชุดเหลืองอ่อนที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ของเธอ เสื้อผ้าของอินเดียได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปินบัลธัส “เขายึดจากภาพวาดของเด็กผู้หญิงในเสื้อไหมพรมและกระโปรงกำลังนอนหลับอยู่ มีแมวนอนอยู่บนโซฟา นั่นคือแรงบันดาลใจของเราสำหรับอินเดีย” มุลเลอร์กล่าว
เอวี่เหมือนนกที่อยู่ในกรงตลอดช่วงที่เธอโศกเศร้า เธอสวมชุดที่มิดชิดรัดรูปดูแล้วงามสง่า ขนนกของเธอสยายออกขึ้นจากการสนใจของลุงชาร์ลี จนกระทั่งเธอกลายเป็นคนอ่อนแอในท้ายที่สุด ผิวหนังไม่มีอะไรปิดบังและผมหลุดยุ่งเหยิง
ขณะที่สไตล์แนวปราดเปรียวของลุงชาร์ลีทำให้นึกถึง แครี่ แกรนต์ ในยุคราว 1950 มีความงามแบบเรียบง่ายจากเสื้อแคชเมียร์และรองเท้าขี่ม้า
ผลที่ได้คือภาพลักษณ์ที่ทั้งแปลกและดูค่อนข้างสับสน มีความร่วมสมัยอย่างชัดเจน แต่ยังสร้างความสับสนเรื่องเวลาและสถานที่อยู่ด้วย “สิ่งที่น่าตื่นเต้นสุดสำหรับฉันในฐานะของแฟนปาร์ค ชาน-วุค คือลุคในเรื่องนี้ที่ต่างจากหนังเรื่องอื่นของเขา” เดอเปรกล่าว “ไม่ต่างจากวิธีจัดการเรื่องตัวละคร การจัดวางองค์ประกอบและการวางแผนอย่างสมบูรณ์แบบ แต่บรรยากาศต่างจากทุกเรื่องที่เขาเคยสร้างมา”
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ STOKER ที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่น่าจดจำต่างๆ ประพันธ์โดยคลินต์ แมนเซล ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy? ปี 2012 สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับ Visual Media ในภาพยนตร์ระทึกขวัญสั่นประสาทเรื่อง BLACK SWAN ผู้กำกับฯ ปาร์คประทับใจผลงานแมนเซลในเรื่องนั้นและภาพยนตร์เรื่องอื่น เช่น MOON, REQUIEM FOR A DREAM และ ? เขาได้รับเสนองานหลังจากที่ผู้กำกับไปดูการแสดงที่สถานบันเทิงในตำนานของลอสแองเจลิสที่ชื่อ Largo
แมนเซลได้ดูภาพยนตร์เรื่องก่อนของผู้กำกับฯ ปาร์ค เรื่อง OLDBOY และ THIRST และรู้เรื่องชื่อเสียงของเขาในวงการภาพยนตร์ดี “ผมยอมรับหน้าที่เพราะผมอยากร่วมงานกับผู้กำกับฯ ปาร์ค” เขากล่าว “ผมตามหาความรู้สึกและประสบการณ์ที่แปลกออกไปจากหนังหลายเรื่องที่ผมพบเจอ ซึ่ง STOKER ให้ความรู้สึกนั้นได้”
แมนเซลยกย่องผู้กำกับฯ ปาร์ค ทั้งความเป็นผู้ชำนาญและเพื่อนร่วมงาน “เขาทำตัวสบายๆ แต่ยังมีความมุ่งมั่นมาก แม้แต่ช่วงโน้ตเพลงเล็กๆ ของเขาก็ต้องสะท้อนในบทเพลงอย่างชัดเจน เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่เขาก็เปิดรับไอเดียใหม่ๆ การทำงานร่วมกับเขาถือว่าประสบความสำเร็จมาก”
“เป้าหมายแรกของผมคือการประพันธ์ดนตรีที่ส่งภาพยนตร์” ผู้ประพันธ์เล่าต่อว่า “แต่ผมรู้สึกว่าผมจะสร้างผลงานได้ดีมากเวลาที่ผมเข้าถึงภาพยนตร์ เหมือนดนตรีนั้นผมสร้างขึ้นมาเพื่อตัวเองเป็นพิเศษ”
ผู้กำกับฯ ปาร์คหลงใหลในบทเพลงของคลินต์ แมนเซลมานานแล้ว “ตอนที่เราทำภาพยนตร์โฆษณาให้ SYMPATHY FOR MR. VENGEANCE ผมได้ยินมาว่ามีดนตรีร่วมสมัยที่ผู้เรียบเรียงใส่ลงไปเองด้วย ผมถึงกับตกใจเพราะผมเคยได้ยินดนตรีแบบนี้ครั้งแรกในชีวิต ผมตะลึงกับความไพเราะของดนตรี ผมรู้มาว่าเป็นดนตรีจากภาพยนตร์อเมริกาเรื่อง ? แต่ผมจำชื่อนักประพันธ์ไม่ได้ เราไม่มีงบพอที่จะไปซื้อลิขสิทธิ์หรอก”
“คลินต์สร้างความพลิ้วไหวให้องค์ประกอบทุกท่วงทำนอง” ปาร์คกล่าว “เขาไม่ได้เจาะจงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเป็นพิเศษ เปียโน เครื่องดนตรีสาย เสียงร้อง เครื่องดนตรีประเภทเคาะ แต่ละอย่างถ่ายทอดความรู้สึกที่แตกต่างกันไปมาผสมผสานกันจนเกิดความรู้สึกที่แปลกใหม่ ซึ่งมันยากจะอธิบายเป็นคำพูด สรุปคือดนตรีนี้มีความเพราะ น่าตื่นเต้นแต่เป็นความไพเราะอย่างน่าตื่นเต้น มีความเศร้าแต่เศร้าอย่างงดงาม ฟังดูน่ากลัวแต่น่ากลัวอย่างมีเสน่ห์”
ปาร์คเล่าต่อว่า “พวกเรามาระดมสมองกันไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างที่สร้างผลงานด้วย เหมือนกับการเต้นที่เคลื่อนไหวไปอย่างอ่อนช้อย จากนั้นมีการถอยหลัง หมุนตัว กระโดด ม้วนตัวบนพื้นอย่างรวดเร็ว และกระโดดทรงตัวจากนั้นก็เต้นสลับกันไปอีกครั้ง… ดูงามสง่าราวกับแมว”
ดนตรีมีบทบาทสำคัญในฉากที่ปาร์คเรียกว่าจำเป็นต่อมุมมองภาพยนตร์ของเขา อินเดียและลุงของเธอนั่งเล่นเปียโนด้วยกัน ชาร์ลีผู้เคยออกตัวว่าเล่นดนตรีไม่เป็นมาเล่นคู่กับเธอในทำนองดนตรีประสานเขย่าประสาท ซึ่งเป็นท่วงทำนองที่เขียนขึ้นมาสะกดจิตในภาพยนตร์โดย ฟิลลิป กลาส นักประพันธ์ร่วมสมัยผู้มีชื่อเสียง เมื่อพวกเขาเล่นจบเพลง อินเดียได้เปลี่ยนแปลงไปและคลายข้อสงสัยว่าเขามาที่นี่เพื่อพบใคร
“ผมฝันมานานแล้วว่าอยากร่วมงานกับผู้ชำนาญในศิลปะแขนงต่างๆ” ปาร์คเล่าถึงกลาส “ผมกังวลอยู่บ้าง แต่เขาเป็นคนใจดีและอบอุ่น แม้แต่ตอนที่ผมบังอาจไปขอให้เขาเปลี่ยนทำนองตรงนั้นตรงนี้ เขาก็ไม่เคยเบื่อหน่ายหรือรำคาญเลย ผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าทึ่งและมีความงดงาม ผมเชื่อว่าฉากเปียโนคือฉากสำคัญที่แท้จริง”
มีอา วาสิคาวสกี้ไม่เคยเล่นเปียโนมาก่อนในหนังเรื่องนี้ เธอต้องใช้เวลาเข้าคอร์สเตรียมตัวถึง 3 เดือน “ฉากเปียโนต้องถ่ายทำกันทั้งวันถึงจะไม่มีบทพูดก็ตาม” เธอเล่าว่า “มันเป็นบทเพลงที่ทรงพลังและสะท้อนความรู้สึก ฉันแค่ปล่อยให้ดนตรีพาไป นั่นแหละคือฉากนั้น วันที่ฉันแสดงหนังแล้วมีความสุขที่สุด”
ภาพยนตร์เรื่อง STOKER เป็นผลงานอีกเรื่องที่ปาร์คได้รับคำชมด้านการทำงาน คอสติแกนเล่าว่า “ไม่ต่างจากหนังทุกเรื่องของผู้กำกับฯ ปาร์คเลย แต่มีเรื่องของบทกวีและมนุษยธรรมเข้ามาด้วย เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ยากจะต้านทานและเป็นการปะทะความรุนแรงกัน เขาสามารถถ่ายทอดบทภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นของเวนต์เวิร์ธ มิลเลอร์ ให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น เหนือความคาดหมายอย่างงดงามและน่าพอใจ จะตลกตอนไหนก็ได้ ทุกคนที่มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้รู้สึกภูมิใจมากที่ได้ช่วยผู้กำกับฯ ปาร์คสร้าง ‘ภาพยนตร์ของปาร์ค ชาน-วุคในอเมริกาให้เป็นจริงขึ้นมาได้”