กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตระดับ “BBB+” ให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันอายุ 3 ปีของ บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ด้วยเช่นกัน อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงฐานเงินทุน ฐานะทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของบริษัทในช่วงปี 2551 ถึง 3 ไตรมาสแรกของปี 2555 และสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดด้วยความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ปัจจัยเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันสะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ระมัดระวัง โดยบริษัทสามารถทำกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2553 ปี 2554 และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต และทำให้อันดับเครดิตของบริษัทแข็งแรงขึ้น การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่ดีและเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัทได้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินงานในอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อการบริโภค
อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันสะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของ ACOM ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท ทั้งนี้ ฐานะการเงินของ ACOM อ่อนแอลงตั้งแตปี 2552 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสำหรับใช้คืนแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินตามผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตามกฎหมาย “Money Lending Business Law” ในประเทศญี่ปุ่น และภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจน้อยลง โดยอันดับเครดิตของ ACOM ในปัจจุบันอยู่ในระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งจัดโดย Standard & Poor’s
แนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทอีซี่ บาย สะท้อนถึงฐานะทางการเงินของ ACOM ที่เข้มแข็งขึ้นในปีงบประมาณ 2555 และแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แรงกดดันต่อผลประกอบการทางการเงินก็ลดลงเนื่องจากแนวโน้มที่ลดลงของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินให้แก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกิน การทบทวนอันดับเครดิตตราสารหนี้อาจมีการพิจารณาใหม่เมื่อทริสเรทติ้งเห็นการเปลี่ยนแปลงในการสนับสนุนที่มีต่อ ACOM จาก Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ตามเงื่อนไขสัญญาการค้ำประกันที่กำหนดภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันเต็มจำนวนแก่หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้หากบริษัทอีซี่ บายไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในกรณีที่บริษัทถูกฟ้องล้มละลายและมีการจ่ายคืนหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้แต่หนี้นั้นถูกเรียกคืน ภาระการชำระหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นของบริษัทผู้ค้ำประกันและจะมีผลในการชำระหนี้ทันที นอกจากนี้ หาก ACOM มีการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการจะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย หาก ACOM ไม่สามารถจ่ายชำระได้ตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมาย ณ ศาลพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระคืนได้ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน
ผลประกอบการทางการเงินของ ACOM ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555 (เมษายน 2554 - มีนาคม 2555) สำหรับช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2556 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2556) ACOM รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 45 พันล้านเยน เนื่องจากการลดลงอย่างมากของการกันสำรองเพิ่มจากการที่ผู้กู้สามารถขอดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปก่อนหน้านี้คืน และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นผลกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลกำไรสุทธิ 42 พันล้านเยนในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2555 (เมษายน - ธันวาคม 2554)
ณ เดือนธันวาคม 2555 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บาย มีจำนวน 72 พันล้านเยน คิดเป็นสัดส่วน 8% ของสินเชื่อรวมของ ACOM บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภครายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจอันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ทางธุรกิจที่ใช้ในทางปฏิบัติด้วย
การมีประสบการณ์มากกว่า 15 ปีในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างต่อเนื่องจาก ACOM เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากขึ้น
ตั้งแต่ปี 2551 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 5.62% ในปี 2550 เป็น 2.14% ในปี 2554 และ 1.91% ณ เดือนมิถุนายน 2555 ก่อนที่จะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.07% ณ เดือนกันยายน 2555 ขณะที่ สัดส่วนเฉลี่ยของอุตสาหกรรมกลับเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปี 2555 จาก 2.75% ในปี 2554 เนื่องจากบริษัทได้ปรับฐานลูกค้าจากกลุ่มผู้ทำงานในโรงงานมาเป็นกลุ่มพนักงานบริษัทตั้งแต่ปี 2552 จึงทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจเพียงบางส่วน บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์
บริษัทมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้นหลังปี 2550 จนบริษัทเริ่มกลับมามีกำไรสุทธิเป็น 310 ล้านบาทในปี 2551 326 ล้านบาทในปี 2552 925 ล้านบาทในปี 2553 และ 1,310 ล้านบาท ในปี 2554 สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 รายได้สุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็น 1,522 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36% จาก 1,120 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลง
ในวันที่ 31 ตุลาคม 2555 บริษัทได้จัดสรรกำไรสะสมจำนวน 3,600 ล้านบาทให้แก่ผู้ถือหุ้นในรูปของหุ้นปันผล ซึ่งมีผลให้เงินทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3,900 ล้านบาท จาก 300 ล้านบาท ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว บริษัทมีเงื่อนไขในการดำรงเงินทุนอย่างเพียงพอ เพื่อให้หนี้สินของบริษัทมีสัดส่วนเท่ากับหรือไม่เกิน 7 เท่าของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัท อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 5.70% ในปี 2550 เป็น 10.58% ในปี 2553 เป็น 14.56% ในปี 2554 และเป็น 19.07% ณ เดือนกันยายน 2555 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกันจาก 14 เท่าในปี 2551 เป็นอัตราประมาณ 4 เท่า
บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) (EASY BUY)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
อันดับเครดิตตราสารหนี้มีการค้ำประกัน:
EB133A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 BBB+
EB13DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 BBB+
EB14DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB+
EB152A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+
EB15DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+
EB156A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,020 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+
EB162A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+
EB162B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
อันดับเครดิตตราสารหนี้ไม่มีประกัน:
EB152B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 340 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+
EB156B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 480 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2559 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable