กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเตรียมจัดการประชุมระดับชาติ กับอียู ในวันที่ 17 — 18 พฤศจิกายน 2548 เพื่อให้เอสเอ็มอีการหารือในด้านการประกอบธุรกิจกัน ขณะที่อียูเผยยังคงสั่งไก่ปรุงสุกจากไทยอยู่
นายสาธิต ศิริรังคมานนท์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( บีโอไอ ) เปิดเผยภายหลังพิธีการเปิดตัวงาน The European Union - Thailand Partenariat 2005 ว่า บีโอไอจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 17 — 18 พฤศจิกายน 2548
โดยได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของสหภาพยุโรป
เพื่อเป็นการพบปะหารือและเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทชั้นนำและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จาก 25 ประเทศ ในกลุ่มสหภาพยุโรป ที่จะเดินทางมาเพื่อหาผู้ร่วมทุนทางธุรกิจ และผู้รับช่วงการผลิต และหาช่องทางการตลาดในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นประตูสู่ตลาดอาเซียน ที่มีประชากรถึง 500 ล้านคน ในขณะที่เอสเอ็มอีไทยก็จะมีโอกาสที่จะขยายตลาดไปยังสหภาพยุโรป รวมถึงไทยยังมีจุดได้เปรียบ คือมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งน่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้
สำหรับภายในงานนี้จะมีการจัดสัมมนา การค้าการลงทุน ศักยภาพของสินค้า และแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าการลงทุน โดยคาดว่าจะมีบริษัทและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมงานประมาณ 500 ราย แบ่งเป็นเอสเอ็มอีไทยประมาณ 300 ราย และเอสเอ็มอีจากยุโรปประมาณ 200 ราย ครอบคลุมอุตสาหกรรม 6 กลุ่ม คือ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไอซีที และซอฟต์แวร์ อุตสาหกรรมแฟชั่นและออกแบบ และอุตสาหกรรมบริการมูลค่าเพิ่มสูง เช่น การท่องเที่ยว ศูนย์สุขภาพและสปา การพิมพ์ การวิจัยและพัฒนา พลังงานและพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอาจทำให้เกิดการเจรจาทางธุรกิจอย่างน้อย 3,000 — 4,000 คู่
“ การจัดงานครั้งนี้ เป็นการจับคู่ทางธุรกิจและการลงทุนกับสหภาพยุโรป ซึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้การสนับสนุน โดยอาจะมีการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ คือ ธุรกิจขนส่งทางเรือ น้ำมัน
เครื่องบิน โดยที่ยุโรปมีอุตสาหกรรมต่อเรือยอร์ช ซึ่งไทยเองก็มีความเชี่ยวชาญในการต่อเรือเช่นกัน
รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน ซึ่งอาจจะให้ไทยขยายตลาดเข้าไปในยุโรปได้มากขึ้น หรืออาจจะเป็นในรูปแบบที่ให้ไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปยังยุโรป ” นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต กล่าวว่า บีโอไอจะให้การสนับสนุนสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่อาจเกิดการค้าการลงทุน คือ ที่ผ่านมาก็มีการจัดโรดโชว์ไปยังต่างประเทศ เพื่อขยายตลาด และในส่วนของที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น ทางบีโอไอก็จะให้สิทธิประโยชน์เต็มที่ สำหรับมูลค่าการลงทุน ที่ยุโรปเข้ามาลงทุน ในช่วง10 เดือน เป็นมูลค่าประมาณ 443 ล้านยูดร หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนมาตรการกีดกันทางการค้าของสหภาพยุโรปนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยควรที่จะต้องมีการปรับตัว เพื่อให้สินค้าสามารถส่งออกได้ตามข้อกำหนด
ทั้งนี้ก่อนที่อียูจะมีการออกกฎข้อบังคับออกมา ทางอียู ก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำให้ ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้
ออกมา
ด้านเอกอัครราชทูต เคลาส์ปีเตอร์ ชมาเลนบาค หัวหน้าคณะผู้แทน คณะกรรมาธิการยุโรป ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสหภาพยุโรปมีจำนวน 19 ล้านราย หรือ 98% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในสหภาพยุโรป ดังนั้นการประชุมครั้งนี้จะก่อให้เกิดความร่วมมือทางธุรกิจ และการลงทุนระหว่างไทยแลยุโรปมากขึ้น ทั้งนี้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหภาพยุโรปเป็นมูลค่าถึง 4,000 ล้านยูโร
อย่างก็ตามก่อนหน้านี้ได้มีการจัดการประชุมนี้มาแล้ว โดยในแต่ละปีมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 500 — 700 ราย
และมีการพบปะทางธุรกิจประมาณ 4,000 คู่ สำหรับปี 2546 สหภาพยุโรปได้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เป็นมูลค่าทั้งหมด 987,000 ล้านยูโร คิดเป็น 19 % ของมูลค่าการค้าของโลก และไทยมีการส่งสินค้าออกไปยังยุโรปประมาณ 15 % ของการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านยูโร
นอกจากนี้เอกอัครราชทูต เคลาส์ปีเตอร์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าสหภาพยุโรปจะยกเลิกการสั่งไก่ปรุงสุก ว่า ทางอียูยังไม่มีมาตรการที่จะห้ามการนำเข้าไก่ปรุงสุกจากประเทศไทย และยังส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ก็ยังคงนำเข้าไก่จากไทยด้วย อย่างไรก็ตามในขณะนี้ อียูเองก็ยังคงติดตามสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด โดยในปี 2548 ทางอียูจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบดูแล และเยี่ยมชมกระบวนการผลิต และตรวจสอบการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในประเทศไทย ซึ่งทางภาคเอกชนของไทยก็ได้มีการติดต่อมา เพื่อทางดำเนินการควบคุม จากอียู เพราะอียูก็เคยมีการระบาดของไข้หวัดนกถึง 2 ครั้ง แต่ก็ต่างจากไทยเนื่องจากเป็นในวงแคบ ส่วนไก่ดิบนั้นหลังจากที่มาตรวจเยี่ยมก็จะทบทวนข้อมูลที่ได้เป็นระยะต่อไป--จบ--